ส่องตลาดสหรัฐฯ อัตราส่วนยอดขาย “Light Truck” พุ่งแตะ 70%

อัปเดตล่าสุด 1 ต.ค. 2561
  • Share :
  • 678 Reads   

ช่องทางทำกำไร

อัตราส่วนยอดขายรถ “Light Truck” ซึ่งครอบคลุมรถบรรทุกขนาดเล็ก รถปิคอัพ และรถ SUV ในตลาดสหรัฐฯ กำลังเป็นที่น่าจับตามอง ด้วยแนวโน้มที่กำลังจะพุ่งสูงขึ้นไปอยู่ที่ 70% จากจำนวนยอดขายยานยนต์ทั้งหมด โดยรายงานของ MarkLines สำนักวิเคราะห์ตลาดยานยนต์ และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระบุว่าเมื่อเดือนสิงหาคม ยอดขายรถประเภทนี้มีสูงถึง 69.4% 

ที่ผ่านมา เมื่อเทียบยอดขาย Light Truck กับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแล้ว พบว่ายอดขายอยู่ในอัตราส่วนที่แทบจะเท่ากัน อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ปี 2013 อัตราส่วนยอดขาย Light Truck ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่ลดต่ำลง

และด้วยรถประเภทดังกล่าวนี้มีราคาสูงกว่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคลมาก จึงเป็นแหล่งทำกำไรชั้นเยี่ยมของค่ายรถ แม้ว่าปัจจุบันมูลค่าตลาดยานยนต์ในภาพรวมจะตกลงมาจากจุดพีคเมื่อปี 2016 แต่ยอดขาย light Truck ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอยู่

 

ฐานใหญ่ค่ายอเมริกัน

ตลาดรถ Light Truck นั้นมีผู้เล่นรายใหญ่เพียง 3 ราย โดยผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากแนวโน้มนี้มากที่สุด คือ ค่ายรถอเมริกัน อย่างไรก็ตาม ยานยนต์จากค่ายญี่ปุ่นก็เป็นที่ยอมรับในตลาดสหรัฐฯ ในด้านของการประหยัดน้ำมัน ซึ่งมีแนวโน้มว่า หลังจากนี้การแข่งขันจะรุนแรงขึ้นอย่างแน่นอน

ปัจจุบัน ยานยนต์จากค่ายญี่ปุ่นที่มีขอดขายเข้าติด Top 5 คือ “RAV4” ของ Toyota และ “Rogue” ของ Nissan ซึ่งมียอดขายตามหลัง “F-Series” ของ Ford และ “Chevrolet Silverado” ของ General Motor อยู่ ซึ่งด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทำให้มีแนวโน้มว่าผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อ Light Truck ค่ายญี่ปุ่นที่มีราคาถูกกว่าก็เป็นได้

 

ทิศทางในภาคอุตสาหกรรม

แม้ปัจจุบันราคาน้ำมันจะอยู่ในขาขึ้น แต่ยังคงถือว่ามีราคาถูกหากเทียบกับช่วงเวลาที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความคิดว่า “น้ำมันก็ไม่ได้แพงขนาดนั้น” ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ยอดขาย Light Truck สูงขึ้น และคาดการณ์ว่าจะมีส่วนแบ่งในตลาดอยู่ที่ 65 - 75% ซึ่งค่ายรถญี่ปุ่นเอง ก็รายงานถึงยอดขายรถ SUV ที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน

นอกจากนี้ Toyota ยังมีแผนจัดหาเครื่องจักรเพิ่มที่โรงงานแคนาดา เพื่อใช้ในการผลิต RAV4 โมเดลปรับปรุงใหม่ซึ่งจะออกจำหน่ายในปลายปีนี้ รวมถึงเสริมกำลังผลิต “Highlander” ที่โรงงานอินเดียน่า ส่วนทางด้าน Honda นั้น ได้เพิ่มกำลังผลิต “CR-V” ตั้งแต่ช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา และทาง Mazda เอง ก็มีกำหนดเริ่มดำเนินการผลิต SUV ร่วมกับ Toyota ในปี 2021

อีกปัจจัยหนึ่งที่ค่ายรถให้ความสำคัญกับแนวโน้มนี้ คือ ยอดขายรถซีดานกำลังอยู่ระหว่างขาลง ยกเว้นโมเดลยอดนิยมแล้ว