Mr. Akira Marumoto Mazda's CEO

100 ปีถัดไปของ Mazda จากสายตาประธาน Akira Marumoto

อัปเดตล่าสุด 7 ม.ค. 2562
  • Share :
  • 441 Reads   

สำหรับบริษัท Mazda แล้ว ปี 2019 จะเป็นปีที่มีความสำคัญต่อบริษัท และต่อแบรนด์ของบริษัทมากเป็นพิเศษ ทั้งการเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ด้วย “ผลิตภัณฑ์ยุคใหม่” ซึ่งพัฒนาขึ้นพร้อมเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำกว่า “SkyActiv” ไปอีกขั้น จากนั้นจึงเป็นคราวของ SUV ยุคใหม่รุ่นที่ 2 และกำหนดการณ์อื่นอีกมากในปีนี้

โดยปีงบประมาณใหม่ของ Mazda จะเริ่มขึ้นในเดือนเมษายน และปัจจุบัน ทางบริษัทคาดการณ์ว่ายอดขายยานยนต์ทั่วโลกในปีงบประมาณ 2018 ซึ่งจะสิ้นสุดที่เดือนมีนาคม จะปิดที่ 1,617,000 ล้านคัน พร้อมคาดการณ์ล่วงหน้าถึงปีงบประมาณ 2021 และ 2023 ไว้ที่ 1,800,000 ล้านคัน และ 2 ล้านคัน ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีกำหนดการณ์ก่อตั้งโรงงานใหม่ร่วมกับ Toyota ที่สหรัฐฯ ในปี 2021 อีกด้วย

Mr. Akira Marumoto ประธานบริษัท Mazda กล่าวชี้แจงว่า ในปี 2020 บริษัท Mazda จะมีอายุครบ 100 ปี ซึ่งสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่มีความเชื่อว่า “จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 1 ครั้ง ในทุกรอบ 100 ปี” แล้ว Mazda จะเดินหน้าต่อไปในทิศทางไหน Mr. Marumoto ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ ดังนี้

คิดอย่างไรกับปี 2019?

“ในปี 2019 เราจะบุกตลาดด้วย Mazda 3 โมเดลใหม่ ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยให้ความสำคัญกับดีไซน์ และเทคโนโลยี SkyActiv มากเป็นพิเศษ และเนื่องในโอกาสนี้ เราจะโฟกัสด้านการตลาด และการบริการที่เกี่ยวข้องควบคู่กันไปด้วย”

แนวคิดด้านธุรกิจ จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่?

“สำหรับเราแล้ว ซึ่งที่ผลักดันให้บริษัทเรามาถึงจุดนี้ได้คือการพัฒนา ไม่ใช้การขาย หลังจากนี้เราจึงอยากจะให้ความสำคัญกับการทำตลาดมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการบริการที่เกี่ยวข้อง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า และดึงดูดลูกค้ารายใหม่ให้ใช้รถของค่ายเรา ซึ่งปัจจุบัน ทั้ง 2 ส่วนนี้เป็นจุดอ่อนของ Mazda ก็ว่าได้”

เรื่องราวการพัฒนากระบวนการสันดาปของ “SKYACTIV-X” มีที่มาอย่างไร

“ผมอยากมีโอกาสเล่าเรื่องนี้มาก ๆ เลยครับ เพราะนี่ก็ผ่านมาถึง 111 ปี จากเมื่อครั้งที่ยานยนต์กลายเป็นสินค้าผลิตจำนวนมากเพราะ Ford Model T แล้ว และในช่วง 111 ปีนี้เอง ที่หลายค่ายได้ละทิ้งการพัฒนา HCCI (Homogeneous-Charge Compression Ignition) ให้สามารถใช้งานได้จริง แต่เราสามารถทำได้สำเร็จ หากมีโอกาสผมก็อยากจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟังกันโดยละเอียด”

มีความเห็นอย่างไรกับตลาดสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์?

“ผมมองว่าไม่ว่าผู้นำจะเป็นใคร สหรัฐฯ ก็จะยังเป็นตลาดยานยนต์ที่ใหญ่เป็นลำดับ 2 ของโลกไปอีกอย่างน้อย 5 - 10 ปี เราจึงอยากเน้นไปที่การยกระดับคุณภาพของธุรกิจ มากกว่าเร่งทำยอดขาย เพื่อให้แม้มีปัจจัยภายนอกเข้ามากระทบ เราก็ไม่เสียจุดยืนของเราไป”

ทำไมถึงเลือกตลาดสหรัฐฯ?

“เนื่องจากเราเล็งเห็นว่าตลาดสหรัฐฯ มีความหลากหลายของผลิตภัณธ์ในตลาดสูงกว่าญี่ปุ่น และยุโรป ซึ่งที่ผ่านมา เราเน้นขยายช่องทางการขายเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดให้สูงขึ้นอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ทำให้เกิดเป็นภาพลักษณ์ในทางลบต่อแบรนด์ของเรา และสามารถเรียกความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคกลับมาได้ยาก อย่างไรก็ตาม หากจนถึงปี 2021 เราสามารถขายได้ซักสาขาละ 1,000 คันแล้ว ด้วยสาขาที่เรามีราว 300 สาขา ก็หมายความว่าเราจะขายได้ 3 แสนคัน ซึ่งยังไม่รวมตัวเลขจากทางดีลเลอร์อีกด้วย”

ในปีหน้า Mazda จะมีอายุครบ 100 ปี คิดว่าในปีที่ 101 บริษัทจะเป็นอย่างไร

“ผมก็ไม่ทราบหรอกครับ ว่าในปีกปี หรืออีก 100 ปีข้างหน้า Mazda จะเป็นอย่างไร แต่หากเราตั้งเป้าข้างหน้าซัก 30 ปีไว้ได้ เราก็จะสามารถวางแผนการให้ไปให้ถึงจุดนั้นได้ อย่างไรก็ตาม ในช่วง 30 ปีนี้ เรามั่นใจว่าแนวคิด CASE และ Ride Sharing จะมีความสำคัญไม่น้อย เราจึงอยากเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนี้ แม้จะไม่มาก แต่หากโดดเด่นก็เกินพอ”

มีความเห็นอย่างไรกับเป้าหมาย 2 ล้านคันในปีงบประมาณ 2023

“ผมมองว่า เป้าหมาย 2 ล้านคัน ไม่ใช่ยอดขาย แต่เป็นการตั้งเป้าให้เราพัฒนาตัวเองไปถึงจุดที่จะสามารถสร้างยอดนี้ขึ้นได้ ซึ่งนั่นรวมไปถึงศักยภาพในสินค้าของเราด้วย ไม่ใช่สักแต่จะขายเพียงอย่างเดียว”

แนวทาง และการตั้งเป้ายอดขายแบบนี้ เหมือนรถหรูค่ายเยอรมันซักค่ายเลยนะครับ

“เราไม่ได้ตั้งใจแบบนั้นหรอกครับ และราคาของค่ายเราเองก็ไม่ใช่ว่านึกจะขายแพงขึ้นก็ขายได้ แต่คนตัดสินใจคือลูกค้า ซึ่งมีสิทธิ์จะตัดสินใจว่าราคาเท่าไร มากับคุณภาพแบบไหน จึงจะควรค่าแก่การซื้อ ซึ่งที่ผ่านมา เราก็เน้นพัฒนายานยนต์ที่สามารถทำให้ผู้ขับมีความสุขได้ ด้วยเหตุนี้เอง ซึ่งสำคัญที่สุดกับเราในตอนนี้ คือ “ทำอย่างไร ลูกค้าถึงจะอยากขับ Mazda” นั่นเอง"