ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ย้ำ “5G คือโอกาส ปลดล็อกข้อจำกัดการผลิต”

อัปเดตล่าสุด 6 ส.ค. 2562
  • Share :
  • 481 Reads   

เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2562 ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ได้จัดงาน “Schneider Electric Meets the Press” เชิญชวนสื่อมวลชนรับฟังการแถลงวิสัยทัศน์ พร้อมพูดคุยกับนายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย ประธานคนใหม่ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประจำประเทศไทย และลาว

ภายในงาน สำนักข่าวอุตสาหกรรม เอ็ม รีพอร์ต ได้พูดคุยกับนายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย ในหัวข้อ 5G และผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิต

“5G พูดถึง Connectivity พูดถึง Speed พูดถึงความเร็วของแอปพลิเคชันต่าง ๆ ซึ่งเราก็เห็นความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มาตั้งแต่เมื่อครั้ง 3G และ 4G ซึ่งสุดท้าย 5G ก็คือการนำมาซึ่งคุณสมบัติในการเชื่อมต่อ และความเร็วที่มากยิ่งขึ้นไม่ต่างกัน”

นายธนพงษ์แสดงความเห็น ก่อนกล่าวถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งอุปกรณ์ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็น IoT-Based ดังนั้น 5G จึงจะมีส่วนช่วยในการผลักดันประสิทธิภาพ และความน่าเชื่อถือของแอปพลิเคชันสูงขึ้น รวมไปถึงการผลักดันให้เทคโนโลยีถูกนำมาใช้ได้เร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย ดังนั้นหากจะกล่าวว่า 5G คือโอกาสก็ไม่เกินไปนัก ซึ่งสำหรับชไนเดอร์ อิเล็คทริค ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายโซลูชันแล้วก็ไม่ต่างกัน

ในโลกของการทำงานจริง ต้องใช้เน็ตเวิร์คในการเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมากเข้าด้วยกัน และเริ่มมีเทคโนโลยีด้าน Mobile เข้ามาเกี่ยวข้อง ยกตัวอย่างเช่นการ Remote Monitoring ซึ่งใช้แอปพลิเคชันในสมาร์ทโฟนในการตรวจสอบการทำงานของระบบ ซึ่ง 5G ทำให้การรับส่งข้อมูลเร็วขึ้น มีปริมาณมากขึ้น รวมถึงการรับส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ จะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดในการผลิตอย่างที่แล้วมา

“หาก 5G ไม่ใช่โอกาส เราคงไม่ทำการลงทุนการวิจัย และพัฒนานวัตกรรม 5G เป็นมูลค่า 5% ของยอดขาย ซึ่งสิ่งสำคัญคือการคาดการณ์ว่า โลกจะมีแนวโน้มเช่นไร และลูกค้าจะมีความต้องการแก้ปัญหาอย่างไร จึงจะสามารถสร้างเทคโนโลยีเหล่านี้ให้กับลูกค้าได้”

ส่วนการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีในยุค 5G นั้น เทคโนโลยีอาจไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยตรง แต่เป็นส่วนเสริมที่ช่วยให้เทคโนโลยีเดิมทีมีอยู่แล้วมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การยกระดับเทคโนโลยี IoT, การแทนที่ 4G เพื่อการเชื่อมต่อที่ดีขึ้น, และอื่น ๆ

“ส่วนตัวแล้ว ผมก็อยากให้ 5G มาถึงไทยโดยเร็ว เพราะจะช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นอย่างแน่นอน” นายธนพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย