ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยประจำเดือนมกราคม 2562

อัปเดตล่าสุด 24 ก.พ. 2562
  • Share :
  • 2,920 Reads   

การส่งออกของไทยในเดือนมกราคม 2562 มีมูลค่า 18,994 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวที่ร้อยละ 5.7 โดยได้รับแรงกดดันจากภาวะการค้าโลกชะลอตัว และอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าชะงักงัน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากประเด็นข้อพิพาททางการค้าที่ยังคงยืดเยื้อทำให้ชะลอคำสั่งซื้อ และผลจากปัจจัยภายในของบางประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Markets) การส่งออกไปสหรัฐฯ ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ตลาดญี่ปุ่น อินเดีย และ CLMV ยังคงขยายตัวแต่ในอัตราที่ชะลอลง ขณะที่การส่งออกในตลาดอื่นๆ หดตัว หากพิจารณารายสินค้า การส่งออกสินค้ากลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัวที่ร้อยละ 2.9 ผลจากการหดตัวของยางพารา ข้าว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และน้ำตาลทราย ขณะที่ผัก ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป และไก่สดแช่แข็งและแปรรูป ยังขยายตัวสูง การส่งออกสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรม หดตัวที่ร้อยละ 5.9 จากสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบและส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ

มูลค่าการค้ารวม

มูลค่าการค้าในรูปของเงินบาท เดือนมกราคม 2562 การส่งออกมีมูลค่า 616,104 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 5.7 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ในขณะที่ การนำเข้า มีมูลค่า 756,664 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 14.0 ส่งผลให้การค้าขาดดุล 140,561 ล้านบาท 

มูลค่าการค้าในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนมกราคม 2562 การส่งออกมีมูลค่า 18,994 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 5.7 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 23,026 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 14.0 ส่งผลให้การค้าขาดดุล 4,032 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร

มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรหดตัวที่ร้อยละ 2.9 (YoY) หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยสินค้าเกษตรสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ยางพารา หดตัวต่อเนื่องทั้งด้านปริมาณและราคา หดตัวร้อยละ 15.1 (หดตัวในตลาดจีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ และอินเดีย แต่ยังขยายตัวได้ดีในญี่ปุ่น สหรัฐฯ ฝรั่งเศส สเปน และอิตาลี) น้ำตาลทราย หดตัวร้อยละ 29.9 (หดตัวในตลาดอินโดนีเซีย ญี่ปุ่น กัมพูชา และเมียนมา แต่ยังขยายตัวได้ดีในตลาดเกาหลีใต้ และมาเลเซีย) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง หดตัวที่ร้อยละ 18.5 (หดตัวในตลาดจีน ไต้หวัน มาเลเซีย และสหรัฐฯ แต่ยังขยายตัวได้ดีในตลาดอินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ข้าว หดตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 1.0 (หดตัวในตลาดเบนิน จีน แอฟริกาใต้ และฮ่องกง แต่ยังขยายตัวได้ดีในตลาดฟิลิปปินส์ สหรัฐฯ และมาเลเซีย) อย่างไรก็ตาม สินค้าเกษตรสำคัญหลายรายการยังขยายตัวได้ดี ได้แก่ ผัก ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 24.7 (ขยายตัวในตลาดเวียดนาม จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลีใต้ และอินโดนีเซีย) ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 8.7 (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร จีน เกาหลีใต้ และมาเลเซีย) เครื่องดื่ม ขยายตัวร้อยละ 3.7 (ขยายตัวในตลาดกัมพูชา ลาว ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย) 

การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม

มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมหดตัวที่ร้อยละ 5.9  (YoY) หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยสินค้าสำคัญที่ยังขยายตัวได้ดี ได้แก่ นาฬิกาและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 174.7 (ขยายตัวในตลาดอินเดีย ออสเตรเลีย สวิตเซอร์แลนด์ และฮ่องกง) เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 31.1 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น เยอรมนี ฮ่องกง และจีน) อัญมณีและเครื่องประดับไม่รวมทองคำ ขยายตัวร้อยละ 3.5 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ อิตาลี เบลเยียม ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร) สินค้าอุตสาหกรรมสำคัญที่หดตัว ได้แก่ สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน หดตัวร้อยละ 9.6 (หดตัวในตลาดจีน สิงคโปร์ เวียดนาม และอินเดีย แต่ยังขยายตัวได้ดีในตลาดมาเลเซีย อินโดนีเซีย และญี่ปุ่น) เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบและส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 33.9 (หดตัวในตลาดอินโดนีเซีย อินเดีย และฮ่องกง แต่ยังขยายตัวได้ดีในตลาดแอฟริกาใต้ ญี่ปุ่น และจีน) เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ หดตัวที่ร้อยละ 10.1 (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ฮ่องกง และจีน แต่ยังขยายตัวในตลาดมาเลเซีย และเม็กซิโก) รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 5.1 (หดตัวในตลาดออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย แต่ยังขยายตัวได้ดีในตลาดเวียดนาม และญี่ปุ่น)

ตลาดส่งออกสำคัญ

การส่งออกไปตลาดสำคัญๆ ปรับตัวลดลงตามภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลกที่ชะลอตัว การส่งออกไปยังตลาดหลักยังขยายตัวได้ที่ร้อยละ 1.7 โดยการส่งออกไปสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ยังคงขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 8.3 และ 0.9 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปสหภาพยุโรปที่หดตัวร้อยละ 4.8 ด้านตลาดศักยภาพหดตัวร้อยละ 8.1 ซึ่งเหตุผลหลักมาจากการหดตัวของการส่งออกไปจีน ไต้หวัน และฮ่องกง ที่ร้อยละ 16.7 15.5 และ15.3 ตามลำดับ ตลาดอาเซียน 5 กลับมาหดตัวที่ร้อยละ 7.4 ขณะที่ตลาด CLMV ยังขยายตัวที่ร้อยละ 0.6 ตลาดศักยภาพระดับรองหดตัวที่ร้อยละ 5.2 เนื่องจากการส่งออกไปตะวันออกกลาง ทวีปออสเตรเลีย ลาตินอเมริกา แอฟริกา และกลุ่มประเทศ CIS หดตัวร้อยละ 8.3 6.5 5.2 4.5 และ 2.5 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปสวิตเซอร์แลนด์หดตัวสูงร้อยละ 56.4 จากการหดตัวของทองคำเป็นหลัก

ตลาดสหรัฐอเมริกา ขยายตัวร้อยละ 8.3 โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องนุ่งห่ม และเครื่องจักรกล เป็นต้น 

ตลาดญี่ปุ่น ขยายตัวร้อยละ 0.9 สินค้าสำคัญที่ขยายตัวดี ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก ขณะที่เครื่องจักรกล และไก่แปรรูป ขยายตัวในระดับ 2 หลัก สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เครื่องโทรศัพท์และอุปกรณ์ และเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นตัน

ตลาดสหภาพยุโรป (15) หดตัวร้อยละ 4.8 สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ฯ รถยนต์และส่วนประกอบ  และเครื่องจักรกลฯ สินค้าที่ขยายตัวสูง ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ยาง และรถจักรยานยนต์ เป็นต้น นอกจากนี้ เครื่องปรับอากาศ และแผงวงจร ยังมีแนวโน้มขยายตัวดี 

ตลาดจีน หดตัวร้อยละ 16.7 โดยสินค้าที่หดตัวต่อเนื่อง ได้แก่ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ที่หดตัวจากประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม และยางพาราที่มีปัญหาด้านอุปทานส่วนเกิน สินค้าสำคัญอื่นๆ ที่หดตัว ได้แก่ เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องคอมพิวเตอร์ฯ และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ขณะที่ ผลไม้สด แช่แข็งและแปรรูปฯ และเม็ดพลาสติก ยังขยายตัวได้ดี 

ตลาดอาเซียน-5 หดตัวร้อยละ 7.4 สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบฯ เครื่องคอมพิวเตอร์ฯ เครื่องจักรกล เคมีภัณฑ์ และเม็ดพลาสติก สินค้าที่ยังขยายตัวได้ดี ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป แผงวงจรไฟฟ้า โดยเฉพาะข้าวที่ขยายตัวถึงร้อยละ 39.0 ซึ่งส่วนใหญ่ส่งออกไปยังฟิลิปปินส์

ตลาด CLMV ขยายตัวร้อยละ 0.6 สินค้าสำคัญที่ขยายตัวในระดับสูง ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบฯ และ
อัญมณีและเครื่องประดับ สินค้าที่ยังขยายตัวได้ดี ได้แก่ ผลไม้สด แช่แข็งและแปรรูปฯ เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และเครื่องจักรกล ด้านสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน โดยเฉพาะน้ำมันสำเร็จรูป เคมีภัณฑ์ และเม็ดพลาสติก ขณะที่เครื่องดื่ม หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2

ตลาดเอเชียใต้ หดตัวร้อยละ 3.4 โดยสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ รถยนต์และส่วนประกอบฯ และเครื่องจักรกล ด้านสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ นาฬิกาและส่วนประกอบที่มีการขยายตัวสูงมาก เครื่องปรับอากาศฯ เครื่องยนต์สันดาปฯ และผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีฯ เป็นต้น

ตลาดลาตินอเมริกา หดตัวร้อยละ 5.2 สินค้าสำคัญที่หดตัวนำโดย รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องยนต์สันดาปฯ ผลิตภัณฑ์ยาง และเครื่องจักรกลฯ ด้านสินค้าที่ยังขยายตัวได้ดี ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ฯ อาหารทะเลแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป โทรศัพท์และอุปกรณ์ฯ และเครื่องรับวิทยุและโทรทัศน์ฯ เป็นต้น

ตลาดตะวันออกกลาง หดตัวร้อยละ 8.3 สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ และตู้เย็นฯ ขณะที่สินค้ารถยนต์ และผลิตภัณฑ์ยาง กลับมาขยายตัวในเดือนนี้ สินค้าที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ อาหารทะเลแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป อัญมณีและเครื่องประดับ และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น

ตลาดทวีปออสเตรเลีย หดตัวร้อยละ 6.5 สินค้าสำคัญที่ยังหดตัวต่อเนื่อง ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบฯ 
เครื่องปรับอากาศฯ เม็ดพลาสติก อาหารทะเลกระป๋องฯ และผลิตภัณฑ์ยาง ด้านสินค้าที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ นาฬิกาและส่วนประกอบ เครื่องสำอางฯ เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ฯ และผลิตภัณฑ์ข้าวสาลี เป็นต้น

ตลาดรัสเซีย และกลุ่มประเทศ CIS หดตัวร้อยละ 2.5 สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง ผลไม้กระป๋องฯ เครื่องจักรกล และเม็ดพลาสติก ด้านสินค้าที่ยังขยายตัวดี ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบฯ ข้าว เครื่องปรับอากาศฯ และตู้เย็นและส่วนประกอบฯ เป็นต้น

แนวโน้มและมาตรการส่งเสริมการส่งออกปี 2562
ภาพรวมการส่งออกในปี 2562 ยังเผชิญความเสี่ยงจาก 4 ปัจจัยหลัก คือ 1) การชะลอตัวของอุปสงค์ต่างประเทศ 2) ราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตร มีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากอุปทานและสต๊อกล้นตลาดกดดันรายได้การส่งออกของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Markets) รวมถึงไทย 3) แนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาท กดดันรายได้ของผู้ส่งออก อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นไม่มากนักเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ จะยังทำให้ไทยรักษาความสามารถทางแข่งขันไว้ได้  4) ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่ยังคงกดดันบรรยากาศการค้าการลงทุนโลก โดยประกาศทางการของทั้งสองฝ่ายระบุว่าการเจรจาเป็นไปในทิศทางที่ดี มีการบรรลุหลักการในประเด็นสำคัญ โดยจะมีการประชุมระดับรัฐมนตรีติดตามความคืบหน้าการเจรจาอีกครั้งในวันที่ 21 - 22 กุมภาพันธ์ 2562 ที่ กรุงวอชิงตัน ดีซี ทั้งนี้ หลายฝ่ายคาดว่าทั้งสองประเทศจะลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) ระหว่างกันภายหลังการเจรจา และมีความเป็นไปได้ว่าสหรัฐฯ อาจยืดเวลาการขึ้นภาษี 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ออกไปจากกำหนดเดิมในวันที่ 1 มีนาคม 2562

สำหรับแนวทางการผลักดันการส่งออกในปี 2562 ให้เป็นไปตามเป้าหมายนั้นต้องปรับเปลี่ยนไปตามลักษณะเฉพาะของแต่ละตลาด ในภาพรวม การส่งออกสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้สูงวัย สินค้าเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม สัตว์เลี้ยง สินค้าและบริการด้านสุขภาพ (Wellness) รวมถึงภาคบริการที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ โลจิสติกส์ มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และไทยยังมีศักยภาพในการเป็นจุดเริ่มต้นของห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตรได้ เช่น ผลิตภัณฑ์จากข้าว สำหรับตลาดอเมริกานั้น สินค้าเกษตรและสินค้าไลฟ์สไตล์ที่เน้นคุณภาพและมาตรฐานยังทำตลาดได้ดี ขณะที่ตลาดจีนและอินเดียจำเป็นต้องวิเคราะห์ศักยภาพ รายมณฑล/รัฐ ใช้กลยุทธ์การเจาะตลาดด้วยรูปแบบที่แตกต่างกัน รวมทั้งการตั้ง Special Taskforce เจาะตลาดแอฟริกาเชิงลึก นอกจากนี้ ในภาวะที่การส่งออกไทยเผชิญความเสี่ยงที่หลากหลายและมีความเชื่อมโยงกับมิติอื่นๆ อาทิ ภูมิรัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น ไทยจำเป็นต้องปรับตัวให้เท่าทัน พิจารณากระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาตลาด/ห่วงโซ่อุปทานเป็นหลักเพียงตลาดเดียว รวมถึงการเตรียมกลยุทธ์การค้าทางเลือกให้พร้อมไว้อยู่เสมอ อาทิ ขยายโอกาสการค้าการลงทุนผ่านการสร้างหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์กับคู่ค้าศักยภาพ (Strategic Partnership) สร้างเครือข่ายทางธุรกิจ (International Business Network) ขยายความร่วมมือทางการค้าในภูมิภาคอาเซียน และ CLMV ในโอกาสการเป็นประธานอาเซียน รวมถึงพัฒนาช่องทางการขายสินค้าทั้งรูปแบบออฟไลน์ และออนไลน์โดยการเชื่อมต่อ e-Marketplace ทั่วโลก เพื่อส่งเสริมการค้าจากท้องถิ่นสู่สากล (Local to Global)