JMTBA ปรับเพดานใหม่ ยอดสั่งเครื่องจักรทำลายสถิติ 2 ปีซ้อน ปีนี้คาดแตะ 1.7 ล้านล้านเยน

อัปเดตล่าสุด 12 ม.ค. 2561
  • Share :
  • 528 Reads   

สถานการณ์ในวงการอุตสาหกรรมเครื่องจักรกำลังดุเดือดที่สุดในรอบสิบปี ตั้งแต่ Japan Machine Tool Builders' Association (JMTBA) ได้ประกาศแก้ไขยอดประมาณการณ์การสั่งจองเครื่องจักรของปี 2018 จาก 1.4 ล้านล้านเยนขึ้นไปอยู่ที่ 1.7 ล้านล้านเยนเมื่อวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งหากยอดสั่งจองเครื่องจักรเป็นไปตามการคาดการณ์ดังกล่าว และได้รวมกับยอด 1.6 ล้านล้านเยนของปีที่ผ่านมา ก็จะทำลายสถิติยอดสั่งสูงสุดเป็นเวลา 2 ปีซ้อน โดยคาดว่าความต้องการส่วนใหญ่จะมาจากญี่ปุ่น สหรัฐฯ จีน และยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีนที่ภาคอุตสาหกรรมกำลังพัฒนาเข้าสู่ยุคใหม่เพื่อรองรับตลาดของประเทศที่พัฒนาแล้ว

ปัจจุบัน ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณเดือนละ 1 แสนล้านเยน การประมาณว่ายอดรวมทั้งปีจะมีมูลค่า 1.7 ล้านล้านเยนจึงดูเป็นการกล่าวเกินจริงไปอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นในภาคอุตสาหกรรมเอง ก็มีผู้ที่เห็นด้วยว่า “เป็นตัวเลขที่เป็นไปได้” (Mr. Masahiko Mori ประธานบริษัท DMG Mori Seiki)

โดยในยอดรวม 1.7 ล้านล้านเยนนี้ Mr. Yukio Iimura ประธาน JMTBA และ Toshiba กล่าวว่า “ยอดมูลค่า 1 – 1.1 ล้านล้านเยนจะมาจากต่างประเทศ ส่วนยอดที่เหลือจะเป็นยอดจากภายในประเทศญี่ปุ่น” ซึ่งยอดสั่งเครื่องจักรในญี่ปุ่นนั้น เคยขึ้นสูงกว่า 1 ล้านล้านเยนเพียงแค่ในช่วงปี 1989 และ 1990 เท่านั้น ส่วนในปัจจุบันย้อนไป 10 ปี ยอดสูงๆถูกตั้งไว้เพียง 6 แสนล้านเยนเท่านั้น

ในปี 2017 นั้น ภาคอุตสาหกรรมการผลิตมีสถานการณ์ที่ดำเนินไปได้ด้วยดี ส่วนในปี 2018 นี้ คาดว่าอุตสาหกรรมที่จะมียอดสั่งจองจำนวนมากคืออุตสาหกรรมยานยนต์ เซมิคอนดัคเตอร์ และอุปกรณ์ผลิตเซมิคอนดัคเตอร์ รวมถึงแนวโน้มความต้องการเซมิคอนดัคเตอร์สำหรับยานยนต์ที่มากขึ้น ซึ่ง Mr. Yoshimaro Hanaki ประธานบริษัท Okuma ให้ความเห็นว่า “เป็นแนวโน้มที่ยั่งยืนกว่าทางภาคเซมิคอนดัคเตอร์สำหรับ Data Center มาก”

อย่างไรก็ตาม กำลังผลิตของญี่ปุ่นนั้นไม่เพียงพอกับความต้องการที่มากขึ้น เห็นได้จากปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนในภาคอุตสาหกรรม Machine tool รวมถึงการลดลงของแรงงานในสังคมญี่ปุ่น ซึ่ง Mr. Mitsuo Okamoto ประธานบริษัท Amada Holdings ได้แสดงความเห็นต่อประเด็นนี้ไว้ว่า “หากญี่ปุ่นเตรียมพร้อมกำลังผลิตชิ้นส่วนและแรงงานเพื่อรองรับสถานการณ์นี้ไม่ได้ก็จะถูกเขี่ยทิ้งไป” จึงทำให้คาดการณ์ได้ว่า ปีนี้น่าจะเป็นปีแห่งการทดสอบศักยภาพของธุรกิจต่างๆของประเทศญี่ปุ่น