ญี่ปุ่นทิ้งจีน ทุ่มงบ 2.2 พันล้านดอลลาร์ หนุนภาคธุรกิจย้ายฐานผลิตกลับประเทศ

อัปเดตล่าสุด 23 เม.ย. 2563
  • Share :
  • 5,562 Reads   

จากการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคอุตสาหกรรมการผลิต และซัพพลายเชน นำมาซึ่งความอ่อนแอต่อโครงสร้างอุตสาหกรรมเป็นอย่างยิ่ง สำหรับประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำด้านอุตสาหกรรมของโลก ได้เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว โดยกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (Ministry of Economy, Trade and Industry: METI) ของญี่ปุ่น จึงประกาศผลักดันนโยบายสนับสนุนการถอนฐานการผลิตจากประเทศที่กำหนด เช่น จีน และย้ายกลับเข้าสู่ประเทศ โดยทุ่มงบประมาณ 2.2 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการขนย้าย และค่าลงทุนเครื่องจักร เพื่อเสริมโครงสร้างการผลิตในประเทศ ลดการพึ่งพาต่างชาติ และเสริมความแข็งแกร่งในสภาวะฉุกเฉินให้ดียิ่งขึ้น

จากเอกสาร “โครงการส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศ สำหรับซัพพลายเชน ปี 2020” ซึ่งเผยแพร่โดย METI เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2020 ระบุว่า รัฐบาลญี่ปุ่นเล็งเห็นถึงปัญหาของสถานการณ์โรคโควิด-19 ที่ทำให้ซัพพลายเชนหยุดชะงัก ทำให้ในประเทศญี่ปุ่นเกิดการขาดแคลนเครื่องมือแพทย์ที่สำคัญ เช่น หน้ากาก เครื่องช่วยหายใจ ชุดกันเชื้อโรค และสินค้าที่สำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอื่น ๆ นำสู่่การจัดตั้งโครงการดังกล่าว

โดยการให้เงินสนับสนุนนี้ จะพิจารณาธุรกิจที่มีส่วนช่วยในการนำประเทศก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 เป็นลำดับแรก เช่น ผู้ผลิตหน้ากาก น้ำยาฆ่าเชื้อ เวชภัณฑ์ยา และสินค้าอุปโภคบริโภค จากนั้นจึงจะขยายขอบเขตการสนับสนุนไปยังอุตสาหกรรมการผลิตต่อไป 

METI ตั้งเป้าเม็ดเงินสนับสนุนขั้นต่ำต่อหนึ่งบริษัทอยู่ที่ 9,300 ดอลลาร์สหรัฐ และสูงสุดที่ 140 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเงินสนับสนุนจะถูกปรับให้เหมาะสมกับลักษณะและความต้องการของธุรกิจนั้น ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นจะสนับสนุนธุรกิจขนาดใหญ่ 50% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด ธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก และกลุ่มธุรกิจ จะได้รับเงินสนับสนุน 60-75% ในขณะที่ธุรกิจซึ่งรัฐบาลพิจารณาแล้วว่ามีความสำคัญในสภาวะวิกฤตโควิด-19 และมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ หรือมีนวัตกรรมที่โดดเด่น จะได้รับเงินสนับสนุนสูงกว่าที่กำหนดไว้ ซึ่งเงินสนับสนุนนี้ นอกจากค่าใช้จ่ายในการขนย้ายแล้ว จะถูกนำไปใช้สนับสนุนการสร้างโรงงาน การลงทุนเครื่องจักร และการพัฒนาสายการผลิตเดิมในประเทศต่อไป 

นอกจากเงินสนับสนุนสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตแล้ว ยังมีโครงการสนับสนุนธุรกิจรายย่อย ด้วยการเข้าช่วยเหลือในการพัฒนาช่องทางการค้า และแผนธุรกิจที่ยั่งยืน ภายใต้วงเงิน 4,650 ดอลลาร์สหรัฐต่อบริษัท และโครงการสนับสนุนเงินลงทุนอุปกรณ์ IT สำหรับ SME ภายใต้วงเงินสูงสุด 41,800 ดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย

โดย METI เล็งเห็นว่า วิกฤตโควิด-19 ซึ่งระบาดไปทั่วโลกในครั้งนี้ ทำให้การพึ่งพาการผลิตในประเทศมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตแล้ว การมีซัพพลายเชนทั่วโลก เป็นหนึ่งในความปรารถนาของธุรกิจแทบทั้งหมด และมีน้อยอุตสาหกรรมมากที่จะสามารถผลิตได้ภายในประเทศโดยไม่ต้องพึ่งพาประเทศอื่น อย่างไรก็ตาม โรคระบาดในครั้งนี้ทำให้ทราบว่า หากอุตสาหกรรมในประเทศไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ก็จะเกิดการหยุดชะงักและสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจได้

สำหรับโครงการดังกล่าวเป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากการสนับสนุนเงินลงทุนเมื่อครั้งหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮกุ ปี 2011 ซึ่งเน้นให้ความสำคัญกับการสนับสนุนผลิตภัณฑ์หรือชิ้นงานที่หาซัพพลายเออร์ใหม่ได้ยาก รวมถึงธุรกิจที่มีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ

ในอีกด้านหนึ่งของแนวคิดการย้ายฐานการผลิตนั้น ยิ่งเป็นธุรกิจที่มีฐานการผลิตจำนวนมาก ก็ยิ่งต้องใช้เวลา และการลงทุนสูง และอาจทำให้ประเทศญี่ปุ่นสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาสินค้าในอนาคต ซึ่งยังไม่รวมถึงคุณภาพสินค้า และวัสดุ 

นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม ประเทศญี่ปุ่น รายงานเพิ่มเติมว่า ล่าสุด รัฐบาลได้ประกาศลงทุนพัฒนาซัพพลายเชน เพื่อตอบสนองต่อสภาวะวิกฤตโรคโควิด โดยตั้งงบที่ 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย