EV Batteries Recycling – ถอดรหัสอนาคตการรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV พลิกซากให้กลายเป็นทรัพยากรแห่งอนาคต

EV Batteries Recycling ถอดรหัสอนาคตการรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV: เมื่อซากกลายเป็นทรัพยากร

อัปเดตล่าสุด 14 ต.ค. 2568
  • Share :

การขยายตัวของยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles: EVs) กำลังเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมแบตเตอรี่โลก โดยข้อมูลจากองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency: IEA) ระบุว่า ในปี 2024 ยอดขาย EV ทั่วโลกสูงถึง 17 ล้านคัน และคาดว่าในปี 2025 ยอดขายจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 20 ล้านคัน หรือคิดเป็นมากกว่าหนึ่งในสี่ของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั้งหมดทั่วโลก การเติบโตดังกล่าวส่งผลให้ความต้องการแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน (Li-ion Batteries) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดย IEA คาดการณ์ว่า ความต้องการแบตเตอรี่สำหรับ EV ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นราว 4.5 เท่าในปี 2030 และมากกว่า 7 เท่าในปี 2035 เมื่อเทียบกับปี 2023

สำหรับประเทศไทย ภาครัฐได้มีมาตรการสนับสนุนการใช้ EV เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจควบคู่กับการลดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม ภายใต้เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี 2065 ข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบกได้ระบุว่า ในปี 2024 ไทยมียานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) 227,000 คัน ยานยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) 67,000 คัน และยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV) 469,000 คัน ซึ่งคาดว่าจะมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต 

อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของ EV ย่อมส่งผลให้จำนวนแบตเตอรี่ที่หมดอายุการใช้งาน (มีอายุการใช้งานเฉลี่ย 8 - 10 ปี) เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน โดยมีการคาดการณ์จากสมาคมเทคโนโลยีกักเก็บพลังงานไทย (Thailand Energy Storage Technology Association: TESTA) ว่า ภายในปี 2038 ไทยจะมีปริมาณซากแบตเตอรี่ EV สะสมกว่า 800,000 ตัน และจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 2.5 ล้านตันในปี 2043 ซึ่งหากการจัดการแบตเตอรี่ไฟฟ้าเหล่านี้เมื่อเลิกใช้งานแล้ว (End-of-Life Vehicle: ELV) ไม่ได้มาตรฐาน อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงทั้งต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง ดังนั้น การจัดการซากแบตเตอรี่ EV ด้วยการรีไซเคิลจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากการใช้วัสดุรีไซเคิลในการผลิตแบตเตอรี่จะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าการใช้สินแร่ที่ขุดใหม่ถึง 4 เท่า ส่งผลให้คาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่อความจุแบตเตอรี่ 1 กิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) ลดลงได้มากกว่าร้อยละ 25

ภาพรวมห่วงโซ่คุณค่าการรีไซเคิลแบตเตอรี่ (EV Batteries Recycling Value Chain)

ห่วงโซ่คุณค่าการรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV ที่หมดอายุการใช้งาน แบ่งเป็นขั้นตอนต่อเนื่องตั้งแต่การเก็บรวบรวม การขนส่ง การคัดแยก การคายประจุ การบดหรือแยกชิ้นส่วน ตลอดจนการกู้คืนวัสดุที่สามารถนำกลับมาเป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตแบตเตอรี่ใหม่ โดยในแต่ละขั้นตอนมีปัจจัยเชิงเทคนิค ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ต้นทุน และศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ต่างกันไป ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 4 ขั้นตอนหลัก ดังนี้

1. การเก็บรวบรวม การขนส่ง และการคัดแยก (Collection, Logistics and Sorting)

แบตเตอรี่ที่หมดอายุจะถูกเก็บรวบรวมจากแหล่งต่าง ๆ เช่น ศูนย์บริการรถยนต์ หรือโรงงานผลิตแบตเตอรี่ โดยในขั้นตอนนี้ต้องทำอย่างระมัดระวังเพื่อป้องกันการรั่วไหลของสารเคมีที่อาจเป็นอันตราย

2. การคายประจุและการแยกชิ้นส่วน (Discharging and Didmantling)

แบตเตอรี่จะถูกแยกชิ้นส่วนเพื่อนำวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ออกมา เช่น โลหะหนัก ลิเทียม และส่วนประกอบอื่น ๆ ที่มีมูลค่า ในขั้นตอนนี้จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะและมีความปลอดภัยสูง

3. การบำบัดทางเคมี (Pre-Treatment)

การบำบัดทางเคมีนี้ วัสดุที่แยกออกมาจะถูกบำบัดและแปรรูปเพื่อให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เช่น การสกัดลิเทียม นิกเกิล และโคบอลต์ โดยขั้นตอนนี้จะช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสร้างความคุ้มค่าในเชิงเศรษฐกิจ

4. การกู้คืนวัสดุ (Materials Recovery)

หลังจากบำบัดทางเคมีเบื้องต้นและแยกสารต่าง ๆ วัสดุบางส่วนจะถูกนำกลับไปใช้ในการผลิตแบตเตอรี่ใหม่หรือใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ซึ่งการนำวัสดุกลับมาใช้ซ้ำเป็นการลดของเสียและช่วยลดความต้องการในการขุดทรัพยากรหรือสินแร่ใหม่

โดยทั่วไป การรีไซเคิลแบตเตอรี่ สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1) โลหวิทยาความร้อนสูง (Pyrometallurgy) 2) โลหวิทยาการละลาย (Hydrometallurgy) และ 3) การรีไซเคิลโดยตรง (Direct Recycling) การรีไซเคิลแต่ละประเภทมีรายละเอียด ข้อดี และข้อเสียที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถสรุปได้ดัง ตารางที่ 1

ตารางที่ 1 ประเภทการรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน

ประเภทการรีไซเคิล 1. โลหวิทยาความร้อนสูง
(Pyrometallurgy)
2. โลหวิทยาการละลาย
(Hydeomeallurgy)
3. การรีไซเคิลโดยตรง
(Direct Recycling)
กระบวนการที่เกี่ยวข้อง การถลุง (Smelting) การชะละลาย (Leaching)
การกู้คืน (Recovery)
การเติมลิเทียม (Re-lithiation)
ผลผลิตหลังการรีไซเคิล โลหะผสม สารประกอบเกลือของโลหะ (คาร์บอเนต ซัลเฟต ฯลฯ)  วัสดุผ่านกระบวนการฟื้นฟู
ข้อดี
  • ไม่ต้องการการลดขนาด
  • ความซับซ้อนน้อย
  • เป็นเทคโนโลยีที่เชื่อถือได้เพราะมีการพัฒนาามานานแล้ว
  • ใช้พลังงานน้อย
  • สามารถใช้ได้กับแบตเตอรี่ได้หลายประเภท
  • ผลผลิตมีความบริสุทธิ์สูง
  • ใช้พลังงานต่ำ
  • ไม่ต้องใช้ปริมาณมาก
  • ต้นทุนต่ำ
  • การปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ
ข้อเสีย
  • มี Li และ AI ปนอยู่ในตะกรัน (Slag)
  • ต้องการกระบวนการคัดแยกด้วยวิธี Hydrometallurgy
  • ต้องการทำให้ปริมาณมากจึงจะคุ้มต้นทุน
  • ต้องการลดขาด
  • ใช้กรด ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • มีความซับซ้อน
  • มีความผันแปรต่อระดับความเสื่อมสภาพของวัสดุในแบตเตอรี่
  • ยังไม่สามารถทำได้จริงในอุตสาหกรรม

ที่มา: สมาคมเทคโนโลยีกักเก็บพลังงานไทย (TESTA), 2023


นอกจากนี้ ในอุตสาหกรรมการรีไซเคิลแบตเตอรี่ ยังมีรูปแบบทางธุรกิจที่หลากหลาย ตั้งแต่บริษัทที่ดำเนินงานเพียงบางขั้นตอนของห่วงโซ่คุณค่า (เช่น การเก็บรวบรวมแบตเตอรี่ การบด และแยกชิ้นส่วน เป็นต้น) จนถึงบริษัทที่ดำเนินการแบบครบวงจรซึ่งครอบคลุมทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจัดการแบตเตอรี่หมดอายุ การขนส่ง การแยกวัสดุ ตลอดจนการกลั่นวัสดุแบตเตอรี่ให้บริสุทธิ์เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทต่าง ๆ มีแนวโน้มหันมาให้ความสนใจในการบริการรีไซเคิลแบบครบวงจรเพื่อลดขั้นตอนการประสานงานกับหลายบริษัทเพื่อรีไซเคิลแบตเตอรี่มากขึ้น ทั้งนี้ บริษัทรีไซเคิลแบตเตอรี่แบบครบวงจร สามารถจำแนกออกเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้

1. การรีไซเคิลแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นจนจบ (Vertically Integrated Recyclers)

จะเป็นการบริการรีไซเคิลในบริษัทเดียวซึ่งครอบคลุมห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดเพื่อให้บริการแบบ End-to-End ตั้งแต่การรับแบตเตอรี่จากผู้บริโภคกลับสู่ผู้ผลิต (Reverse Logistics) ไปจนถึงการกู้คืนโลหะเกรดแบตเตอรี่ และอาจรวมถึงการสังเคราะห์วัสดุแคโทดใหม่ (Cathode Active Materials)

2. การร่วมมือระหว่างผู้เชี่ยวชาญในห่วงโซ่คุณค่าต่าง ๆ (Recyclers Engaging in Cross-Value Chain Partnerships

การรีไซเคิลแบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์แบตเตอรี่ ผู้ผลิต Black Mass ผู้กลั่นโลหะ ผู้ผลิตแบตเตอรี่ ผู้ผลิตรถยนต์ (OEMs) เป็นต้น โดยผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านจะทำงานร่วมกันภายใต้สัญญาความร่วมมือเพื่อให้บริการรีไซเคิลแบบครบวงจร

3. การรีไซเคิลภายในของ OEMs (In-House OEM Recyclers)

ผู้ผลิตเซลล์แบตเตอรี่และผู้ผลิตรถยนต์ (OEMs) จะทำการรีไซเคิลเศษวัสดุจากการผลิตแบตเตอรี่ (Cell Production Scrap) และรีไซเคิลแบตเตอรี่ที่หมดอายุการใช้งานภายในโรงงานเอง เพื่อสร้างระบบปิด ซึ่งทำให้ผู้ผลิตยังคงเป็นเจ้าของวัสดุแบตเตอรี่และเข้าถึงข้อมูลห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Visibility) ได้


โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities)

การขยายตัวของอุตสาหกรรม EV ร่วมกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน ได้นำไปสู่การเกิดธุรกิจรีไซเคิลที่ไม่เพียงตอบโจทย์การจัดการซากแบตเตอรี่เท่านั้น แต่ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของอุตสาหกรรม โดยโอกาสทั้งด้านตลาดและเทคโนโลยีมีรายละเอียดดังนี้


โอกาสทางด้านตลาดและความต้องการ

⚙️การเติบโตของอุตสาหกรรม EV 

การเติบโตของอุตสาหกรรม EV ส่งผลโดยตรงต่อความต้องการแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก โดยในปี 2022 ความต้องการแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนอยู่ที่ประมาณ 700 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) และมีการคาดการณ์ว่าจะขยายตัวมากถึง 4.7 เทราวัตต์ชั่วโมง (TWh) ภายในปี 2030 โดยมากกว่าร้อยละ 90 เป็นความต้องการใช้แบตเตอรี่สำหรับภาคยานยนต์ไฟฟ้า แนวโน้มดังกล่าวไม่เพียงสะท้อนถึงโอกาสในการขยายกำลังการผลิตแบตเตอรี่ แต่ยังนำไปสู่การเกิดขึ้นของตลาดใหม่จากแบตเตอรี่ที่หมดอายุการใช้งาน ซึ่งคาดว่าจะมีมากกว่า 100 ล้านก้อนที่หมดอายุการใช้งานภายในปี 2030 ดังนั้น การเพิ่มขึ้นของทั้งอุปสงค์แบตเตอรี่ใหม่และปริมาณแบตเตอรี่ที่หมดอายุการใช้งานถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญ ทั้งในด้านการลงทุนผลิตแบตเตอรี่ การรีไซเคิล และการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ในรูปแบบต่าง ๆ

⚙️การใช้วัสดุรีไซเคิลในแบตเตอรี่

การกำหนดกฎระเบียบที่สนับสนุนการใช้วัสดุรีไซเคิลในแบตเตอรี่กำลังเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ โดยสหภาพยุโรปได้ประกาศใช้ EU Battery Regulation เป็นกฎหมายบังคับให้แบตเตอรี่ที่จำหน่ายในตลาดต้องมีวัสดุรีไซเคิลเป็นส่วนประกอบ (Recycled Content) ซึ่งกฎหมายได้กำหนดว่า ในปี 2031 แบตเตอรี่แต่ละก้อนจะต้องมีวัสดุรีไซเคิลเป็นส่วนประกอบขั้นต่ำ ได้แก่ โคบอลต์ ร้อยละ 16 ลิเทียม ร้อยละ 6 นิกเกิล ร้อยละ 6 และตะกั่ว ร้อยละ 85, กฎหมายนี้ไม่เพียงช่วยลดการพึ่งพาวัตถุดิบใหม่ แต่ยังสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนในเทคโนโลยีรีไซเคิลและโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวข้อง ซึ่งการลงทุนเหล่านี้ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจหมุนเวียนและความยั่งยืน

⚙️การลดความเสี่ยงของราคาวัตถุดิบและห่วงโซ่อุปทาน

จากการที่อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ EV กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ประกอบกับความผันผวนของราคาวัตถุดิบสำคัญอย่างลิเทียม โคบอลต์ และนิกเกิล รวมทั้งการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานจากจีน ส่งผลให้ธุรกิจต้องเผชิญความเสี่ยงในด้านความมั่นคงของการผลิตและต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งการลดความเสี่ยงนี้สามารถดำเนินการได้ด้วยการใช้กลยุทธ์ Friendshoring ซึ่งเป็นแนวทางในการสร้างพันธมิตรทางการค้ากับประเทศคู่ค้าหรือผู้ผลิตที่มีความมั่นคง เพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานจากประเทศเดียวและลดความเสี่ยงด้านราคาวัตถุดิบ  รวมทั้งการนำเทคโนโลยี Direct Lithium Extraction (DLE) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสกัดลิเทียมที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้เพื่อลดการพึ่งพาวัตถุดิบใหม่และเพิ่มความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทาน โดยทั้งสองกลยุทธ์นี้ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงด้านราคาวัตถุดิบ แต่ยังสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ในการลงทุนเทคโนโลยีการรีไซเคิลและการสกัดลิเทียมอีกด้วย


โอกาสด้านเทคโนโลยี

⚙️เทคโนโลยีรีไซเคิลใหม่

เทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่สมัยใหม่ เช่น Direct Recycling และ Froth Flotation กำลังได้รับความสนใจ เนื่องจากเป็นวิธีที่มีการใช้พลังงานและต้นทุนต่ำกว่าวิธีดั้งเดิมที่ต้องเผาหรือใช้สารเคมีเข้มข้น และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเทคโนโลยี Direct Recycling จะฟื้นฟูโครงสร้างวัสดุขั้วไฟฟ้า เช่น แคโทดและแอโนด ให้กลับมาใช้งานได้ ขณะที่เทคโนโลยี Froth Flotation ใช้หลักการแยกวัสดุด้วยฟองอากาศเพื่อให้ได้วัตถุที่มีความบริสุทธิ์สูง โดยอ้างอิงจากงานวิจัยของ Argonne National Laboratory ที่ระบุว่า การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้สามารถฟื้นฟูวัสดุขั้วไฟฟ้าได้มากกว่าร้อยละ 90 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับการรีไซเคิลแบบดั้งเดิม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพด้านสิ่งแวดล้อมและโอกาสทางธุรกิจในอนาคต


โอกาสทางด้านมาตรการสนับสนุนการลงทุน

การให้การส่งเสริมกิจการศูนย์บริการซ่อมแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แล้วและกิจการนำแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าและ/หรือระบบกักเก็บพลังงานที่ไม่ใช้แล้วมาจัดชุดใหม่ (Repack) หรือนำมาใช้ใหม่ (Reuse) ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) โดยได้รับสิทธิและประโยชน์ในกลุ่ม A4 ทั้งนี้ การดำเนินกิจการจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าต้องดำเนินการจัดการแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า (ไม่รวมแบตเตอรี่กลุ่มตะกั่ว-กรด (Lead-acid Battery)) และ/หรือ Energy Storage ที่ไม่ใช้แล้วที่เกิดขึ้นในประเทศเท่านั้น มีขั้นตอนการติดตั้งระบบบริหารจัดการแบตเตอรี่ (BMS) และมีขั้นตอนการทดสอบสมรรถนะและความปลอดภัยของแบตเตอรี่ และต้องดำเนินการให้ได้การรับรองมาตรฐานระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14000 ก่อนการใช้สิทธิและประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งการให้การส่งเสริมของ BOI ดังกล่าว จะช่วยลดภาระต้นทุนและความเสี่ยงของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์ทางภาษีและมาตรการอำนวยความสะดวกด้านการลงทุน ซึ่งเอื้อต่อการเริ่มต้นธุรกิจรีไซเคิลแบตเตอรี่และการขยายกิจการในอนาคต 

นอกจากนี้ การรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนถือเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการสร้างผลกำไรได้ในอนาคต ซึ่งรายงานของ Twin Towers Ventures ได้มีการคาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมการรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนจะเติบโตกว่า 95,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2040 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการวัสดุรีไซเคิลที่เพิ่มขึ้น การพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพ และการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ ยิ่งไปกว่านั้น การกู้คืนวัสดุ (Materials Recovery) จากแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนถือเป็นส่วนที่มีศักยภาพในการสร้างกำไรสูงสุดในห่วงโซ่คุณค่า การรีไซเคิลวัสดุสำคัญอย่างโคบอลต์ ลิเทียม และนิกเกิลช่วยเพิ่มอัตรากำไรและลดการพึ่งพาวัตถุดิบใหม่ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตของตลาด EV และระบบจัดเก็บพลังงานที่ส่งผลให้ปริมาณแบตเตอรี่หมดอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น การรีไซเคิลวัสดุจากแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนจึงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงและมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม EV และระบบกักเก็บพลังงานในอนาคต


ความท้าทาย (Challenges)

แม้ว่าการจัดการซากแบตเตอรี่ EV ผ่านกระบวนการรีไซเคิลจะเป็นทางเลือกที่มีศักยภาพในการกู้คืนทรัพยากรและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ในปัจจุบันยังคงเผชิญกับข้อจำกัดสำคัญหลายประการ ดังนี้

⚙️ความท้าทายด้านขนาดการดำเนินงาน

ในปัจจุบัน การรวบรวมซากแบตเตอรี่ยังคงเป็นความท้าทาย เนื่องจากปริมาณซากแบตเตอรี่ที่เข้าสู่ระบบการรีไซเคิลมีไม่เพียงพอ อันเป็นผลมาจากอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ EV ที่ค่อนข้างยาวนาน ทำให้ซากแบตเตอรี่ที่จะสามารถนำมารีไซเคิลได้มีจำนวนจำกัด อย่างไรก็ตาม คาดว่าปริมาณดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อแบตเตอรี่ EV เริ่มทยอยหมดอายุการใช้งานในอนาคต

จากรายงานของ McKinsey & Company พบว่า ในช่วงปี 2025 แหล่งวัสดุหลักสำหรับการรีไซเคิลแบตเตอรี่ยังคงมาจากเศษวัสดุที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการผลิต (Production Scrap) คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 53 ขณะที่แบตเตอรี่ EV ที่หมดอายุการใช้งาน คิดเป็นร้อยละ 47 อย่างไรก็ตาม แนวโน้มจะเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเข้าสู่ปี 2030 ซึ่งปริมาณแบตเตอรี่ EV ที่หมดอายุการใช้งานจะเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นแหล่งวัสดุหลักสำหรับการรีไซเคิล โดยมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 57 ในขณะที่เศษวัสดุจากการผลิตลดลงเหลือร้อยละ 43 และในปี 2040 คาดว่าปริมาณแบตเตอรี่ EV ที่หมดอายุการใช้งานจะถูกนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลจะเพิ่มขึ้นอย่างมากจนมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 94 ของแหล่งวัสดุทั้งหมด

ภาพที่ 1 ปริมาณแบตเตอรี่ EV ที่เข้าสู่การรีไซเคิล แยกตามประเภทเศษซากแบตเตอรี่ ปี 2025 - 2040

ที่มา: McKinsey & Company 


ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV จะต้องมั่นใจว่าจะสามารถเข้าถึงปริมาณวัสดุที่เพียงพอสำหรับการรีไซเคิลในระยะสั้น ตลอดจนมีศักยภาพในการขยายตัวได้ในระยะยาว ซึ่งหนึ่งในแนวทางสำคัญเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว คือ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบนิเวศการรีไซเคิล อาทิ การร่วมมือกับผู้ผลิตเซลล์แบตเตอรี่ เพื่อรวบรวมเศษวัสดุหรือของเสียที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิต รวมถึงการทำงานร่วมกับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเก็บรวบรวมขยะหรือซากผลิตภัณฑ์ เพื่อให้มั่นใจได้ว่ามีการจัดหาซากแบตเตอรี่ EV ที่หมดอายุการใช้งานเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างเพียงพอและต่อเนื่อง และสามารถดำเนินธุรกิจรีไซเคิลแบตเตอรี่ให้ได้ผลกำไรและคุ้มค่าต่อการลงทุน

⚙️ความท้าทายด้ายเทคโนโลยีการรีไซเคิลแบตเตอรี่

การรีไซเคิลแบตเตอรี่มีความท้าทายในส่วนของความซับซ้อนของกระบวนการและข้อจำกัดเชิงเทคนิค เช่น การแยกองค์ประกอบทางเคมีที่มีความหลากหลาย การกู้คืนวัสดุเพื่อให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ต้นทุนการลงทุนในเทคโนโลยีที่สูง การพัฒนาเทคโนโลยีที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ดังนั้น การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการรีไซเคิลจึงมีความสำคัญต่อการสร้างความคุ้มค่าเชิงเศรษฐกิจ

⚙️ความท้าทายด้านกฏระเบียบและนโยบายการรีไซเคิล

ปัจจุบันประเทศไทยยังขาดกฎหมายและแนวทางในการจัดการซากแบตเตอรี่ที่ชัดเจน ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านการจัดการขยะที่ไม่มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ดังนั้น การกำหนดกฎหมายที่ครอบคลุมทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเก็บรวบรวม ขนส่ง แยกชิ้นส่วน รวมไปจนถึงการรีไซเคิลจึงมีความจำเป็น เพื่อสร้างมาตรฐานความปลอดภัยและส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า 

⚙️ความท้าทายด้านบุคลากร

การเตรียมความพร้อมของบุคลากร เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการจัดการและรีไซเคิลซากแบตเตอรี่ เนื่องจากบุคลากรต้องมีความรู้ความเข้าใจด้านเทคนิค จึงควรได้รับการฝึกอบรมเฉพาะทางเพื่อให้สามารถดำเนินการจัดการและรีไซเคิลซากแบตเตอรี่ได้อย่างปลอดภัย และลดความเสี่ยงจากการได้รับสารเคมีอันตราย


สรุป

การเติบโตของอุตสาหกรรม EV ได้สร้างความต้องการแบตเตอรี่ใหม่และเกิดซากแบตเตอรี่ที่หมดอายุการใช้งานเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเปิดโอกาสทางธุรกิจทั้งด้านการผลิต การรีไซเคิล รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ นำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพในการกู้คืนวัสดุ ลดต้นทุนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงสร้างความยั่งยืนให้กับห่วงโซ่อุปทานแบตเตอรี่ EV อย่างไรก็ตาม การรีไซเคิลซากแบตเตอรี่อาจต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งปริมาณซากแบตเตอรี่ที่ยังไม่เพียงพอต่อการรีไซเคิล เทคโนโลยีที่ซับซ้อนและต้นทุนสูง กฎหมายและนโยบายที่ไม่ชัดเจน รวมถึงความจำเป็นในการพัฒนาบุคลากร ดังนั้น การสร้างเครือข่ายพันธมิตรและการเข้าถึงวัตถุดิบอย่างมั่นคงจึงเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับผู้ประกอบการเพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน

ดังนั้น การสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมรีไซเคิลแบตเตอรี่และลดข้อจำกัดเหล่านี้จึงจำเป็นต้องมีนโยบายและมาตรการสนับสนุนที่เหมาะสม เพื่อสร้างระบบรีไซเคิลที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนได้ใน
ระยะยาว


ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

เร่งจัดทำและบังคับใช้กฎหมายด้านการรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV เพื่อให้การรีไซเคิลแบตเตอรี่รวมถึงการกู้คืนวัสดุจากแบตเตอรี่ที่หมดอายุการใช้งานมีความปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากสารเคมีอันตราย สร้างความคุ้มค่าในการใช้ทรัพยากรให้มากที่สุด และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด

กำหนดหลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (Extended Producer Responsibility: EPR) เพื่อให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้ารับผิดชอบต่อวงจรชีวิตทั้งหมดของผลิตภัณฑ์ของตน ทั้งการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวม กู้คืน แปรรูป และจัดการแบตเตอรี่ที่หมดอายุการใช้งาน รวมทั้งปฏิบัติตามกฎระเบียบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านการรายงานข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ

จูงใจผู้ประกอบการให้เข้าสู่ห่วงโซ่คุณค่าการรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV ที่หมดอายุการใช้งาน ผ่านการให้สิทธิประโยชน์ทางการเงินในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การให้เงินทุนสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพ เป็นต้น

สนับสนุนให้เกิดการจัดทำ Battery Passport เพื่อบันทึกข้อมูลแบตเตอรี่แต่ละก้อน ตั้งแต่องค์ประกอบของแบตเตอรี่ การจัดหาวัตถุดิบเบื้องต้น การผลิต ข้อมูลสมรรถนะและความทนทาน วัตถุประสงค์การใช้งาน ตลอดจนการซ่อมแซมและการรีไซเคิล ซึ่งการจัดทำ Battery Passport นี้ จะทำให้เกิดการดำเนินงานอย่างโปร่งใสและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายสามารถเข้าถึงข้อมูลและตรวจสอบได้

 

บทความนี้จัดทำโดย

แผนกนโยบายและแผน ศูนย์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (E&E Intelligence Unit: EIU) สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (EEI)

 

อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th   

Line / Facebook / X / YouTube @MreportTH