กกร. คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 63 ดีขึ้น  ปรับจีดีพีขยับขึ้น -7.0% ถึง -6.0% ส่งออก -8.0% ถึง -7.0%

กกร. คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 63 ดีขึ้น ปรับจีดีพีขยับขึ้น -7.0% ถึง -6.0% ส่งออก -8.0% ถึง -7.0%

อัปเดตล่าสุด 2 ธ.ค. 2563
  • Share :
  • 515 Reads   

กกร. ปรับประมาณการ GDP ดีขึ้น หดตัวในกรอบ-7.0% ถึง -6.0% เชื่อตัวเลข GDP และการส่งออกจะกลับมาขยายตัวได้ในปีหน้า แม้เศรษฐกิจโลกและไทยไตรมาสที่ 4  แผ่วลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 พร้อมห่วงปัญหาขาดแคลนตู้สินค้า เสนอภาครัฐออกนโยบายช่วยผู้ประกอบการลดต้นทุนส่งออก

การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนธันวาคม 2020 โดย นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทยและประธานสมาคมธนาคารไทย และนายสุพันธ์ุ มงคลสุธี ประธานกรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า 

เศรษฐกิจโลกและไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2563 แผ่วลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่สาม ความคืบหน้าของการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 และผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เป็นบวกต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและนโยบายการค้าของสหรัฐฯ  เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในช่วงโค้งสุดท้ายของไตรมาสที่สี่ อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวมีสัญญาณแผ่วลง นอกจากนี้ การส่งออกของไทยยังได้รับผลกระทบทางอ้อมจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เข้มงวดขึ้นภายหลังจากการกลับมาระบาดที่รุนแรงขึ้นในหลายประเทศ 

โดยเศรษฐกิจไทยคาดว่าปรับตัวดีขึ้นในปี 2564 แต่ยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ ภาคการส่งออกของไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น ในหลังจากมีการใช้วัคซีนในวงกว้างในช่วงครึ่งหลังของปี นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกยังน่าจะได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยจะยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวที่มีสัดส่วนกว่าร้อยละ 10 ของ GDP ยังฟื้นตัวได้อย่างจำกัด รวมถึงตลาดแรงงานยังคงเปราะบาง

ในส่วนของภาครัฐยังคงต้องเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปี 2564 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อของครัวเรือนที่มีความต่อเนื่องยังคงมีความจำเป็นในการประคับประคองเศรษฐกิจประเทศ นอกจากนี้ การลงทุนของภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญจะเป็นแรงสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมถึง ยกระดับความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยในระยะยาว

สำหรับประมาณการเศรษฐกิจปี 2563 กกร. ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2563 ดีขึ้น โดยที่ GDP ปี 2563 จะหดตัวในกรอบ -7.0% ถึง -6.0% ขณะที่การส่งออกจะหดตัวในกรอบ -8.0% ถึง -7.0% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะหดตัวอยู่ในกรอบ -1.0% ถึง -0.9%

ส่วนปี 2564 แม้เศรษฐกิจไทยจะได้รับแรงสนับสนุนจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว แต่ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญในระยะข้างหน้า ที่ประชุม กกร. จึงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2564 จะขยายตัวได้ในกรอบ 2.0% ถึง 4.0% ขณะที่การส่งออกจะขยายตัวในกรอบ 3.0% ถึง 5.0% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ในกรอบ 0.8% ถึง 1.2%

กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2563-2564 ของ กกร.

สำหรับมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมท่องเที่ยว สมาคมโรงแรมไทยได้เสนอในที่ประชุม กกร. ขอให้ภาครัฐพิจารณาข้อเสนอ 2 มาตรการ  คือ

(1.) มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) สำหรับกรณีหนี้คงเหลือเดิมปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นคงที่ 2%  พร้อมทั้งพักการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 2 ปี และขอวงเงินสนับสนุนเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ธุรกิจไทย อนุมัติปล่อยสินเชื่อได้ไม่เกินรายละ 60 ล้านบาท/โรงแรม ในอัตราดอกเบี้ย 2% ปลอดการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 2 ปี  เมื่อครบกำหนดแล้วให้แปลงเป็นสินเชื่อระยะยาวดอกเบี้ยต่ำผ่อนชำระกับธนาคารพาณิชย์ หากลูกค้ามีหลักประกันไม่พอ ขอให้ บสย. หรือรัฐบาลเป็นผู้จัดตั้งกองทุนค้ำประกัน และไม่จำกัดสิทธิสำหรับโรงแรมขนาดใหญ่ที่มีวงเงินรวมเกิน 500 ล้านบาท (2.) มาตรการสนับสนุนเงินเดือนค่าจ้างร้อยละ 50 Co-payment เพื่อรักษาการจ้างงาน สนับสนุนให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจ้างพนักงานเดิมจำนวน 200,000 คน (จำนวนไม่เกิน 30% ของจำนวนพนักงานปัจจุบัน) ระยะเวลาดำเนินโครงการ 1 ปี

โดย กกร. ได้มีการหารือถึงการใช้แอพพลิเคชันด้านการท่องเที่ยวแบบครบวงจร อาทิ จองโรงแรม ที่พักภายในประเทศ จองตั๋วเครื่องบิน และร้านอาหาร ซึ่งขณะนี้มีแอพพลิเคชัน TAGTHAi (ทักทาย) โดยเป็นแอพพลิเคชัน ที่หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้พัฒนาร่วมกับพันธมิตรหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน ที่ประชุม กกร. จึงเห็นควรสนับสนุนและร่วมมือกัน โปรโมท ต่อยอดให้มีการใช้แอพพลิเคชัน TAGTHAi อย่างแพร่หลาย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมทั้ง เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาการท่องเที่ยวให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ กกร. ขอขอบคุณภาครัฐที่เรื่มมีการศึกษาความร่วมมือการค้าระหว่างประเทศ (FTA Thai-EU) ซึ่งในส่วนของ กกร.ได้มีการหารือเรื่อง ปัญหาขาดแคลนตู้สินค้าอย่างรุนแรง  โดยคาดว่าปัญหาการขาดแคลนตู้จะคลี่คลายในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2564  ซึ่งส่งผลกระทบต่ออัตราค่าระวางเรือ และต้นทุนสินค้าของประเทศไทยด้วย โดย กกร.มีข้อเสนอ ดังนี้

1 การแก้ปัญหาระยะสั้น เสนอให้สมาคมผู้ส่งออกสินค้าประเภทต่าง ๆ ประสานเจรจากับสายเดินเรือต่าง ๆ โดยตรง เพื่อจัดทำสัญญาการใช้บริการ (Service Contract) ที่ระบุข้อตกลงในเรื่องค่าระวางเรือและการจัดสรรระวางเรือและจำนวนตู้สินค้าที่ยอมรับได้ทั้งสองฝ่าย

2 ส่งเสริมให้สายเดินเรือนำเรือแม่ขนาดใหญ่ของเส้นทางหลัก เช่น สายเอเชีย-ยุโรป สายเอเชีย-อเมริกา สายเอเชีย-ตะวันออกกลาง ฯลฯ เข้ามาเปิดบริการวิ่งตรง (Direct call service) ที่ท่าเรือแหลมฉบังให้มากขึ้น โดยเสนอให้กรมเจ้าท่า ปรับปรุงกฎระเบียบการนำร่องเรือเข้าเทียบท่าเรือแหลมฉบังที่ได้จำกัดความยาวเรือตลอด  ไว้ที่ 300 เมตร ให้เพิ่มขึ้นเป็น 400  เมตร

3 ขอเสนอให้ภาครัฐ สนับสนุนส่งเสริมการนำตู้คอนเทนเนอร์เปล่าเข้ามาในประเทศไทย โดยการปรับลดอัตราค่าภาระขนถ่ายและค่าภาระหน้าท่าสำหรับการนำเข้าตู้เปล่า เพื่อลดต้นทุนการนำเข้าตู้เปล่าเข้ามา ซึ่งจะสร้างแรงจูงใจให้สายการเดินเรือนำเข้าตู้เปล่าเข้ามาเก็บไว้ในประเทศไทยมากขึ้น และยังจะช่วยสร้างงานและสร้างรายได้ให้แก่ภาคธุรกิจการบริการซ่อมแซมบำรุงรักษาตู้คอนเทนเนอร์ในประเทศไทยอีกด้วย

 

อ่านต่อ: