
ส.อ.ท. จับมือ ธปท. เสริมเสถียรภาพเศรษฐกิจไทย รับมือบาทแข็ง–ภาษีสหรัฐฯ–ปัญหาสภาพคล่องธุรกิจ
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จับมือธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เสริมความร่วมมือเพื่อรับมือความท้าทายทางเศรษฐกิจ อาทิ ค่าเงินบาทแข็ง มาตรการภาษีสหรัฐฯ และปัญหาสภาพคล่องของภาคธุรกิจ พร้อมเสนอแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยให้สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันและเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศ
กรุงเทพฯ, 21 ตุลาคม 2568 — สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) นำโดย นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. หารือความร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นำโดย นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธปท. เพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเงินและความมั่นคงของประเทศ ณ ห้อง Passion (802) ชั้น 8 ส.อ.ท.
“ประเทศไทยเผชิญความท้าทายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการรับมือผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ การส่งเสริมการเปิดตลาดใหม่ การกระตุ้นและพลิกฟื้นเศรษฐกิจ การแก้ไขปัญหาหนี้และสภาพคล่องของภาคธุรกิจ การลดต้นทุนพลังงาน มาตรการเยียวยาผลกระทบจากการปิดด่านชายแดน รวมทั้งความกังวลต่อการแข็งค่าของเงินบาท วันนี้ได้มาพบปะและหารือร่วมกัน จะได้หาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการมากขึ้น ถือเป็นโอกาสที่ดีและเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของความร่วมมือในครั้งนี้” นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าว
นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า “ครั้งนี้เป็นการประชุมที่ ธปท. ได้มาพบปะกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นที่แรกแบบฟูลทีม จริงๆ แล้ว เราทำงานกับทุกหน่วยงาน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างนโยบายการเงินและการคลัง และทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เราจะทำงานร่วมกับภาคธุรกิจมากขึ้นอีก เพื่อให้เกิดการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน”
ด้าน นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ภารกิจหลักของ ธปท. คือ การรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว ประกอบด้วย 3 ส่วนด้วยกัน คือ 1) สร้างเสถียรภาพทางการเงิน โดยเฉพาะดูแลให้เงินเฟ้อในระยะปานกลางอยู่ในระดับต่ำและไม่ผันผวน รวมถึงไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืดและให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะปานกลาง 2) สร้างเสถียรภาพทางระบบสถาบันทางการเงิน โดยสถาบันการเงินเข้มแข็ง มีความมั่นคง สามารถให้บริการลูกหนี้ ประชาชนและธุรกิจได้ต่อเนื่อง และดูแลไม่ให้เกิดจุดเปราะบางในระบบการเงิน และ 3) สร้างเสถียรภาพทางระบบการชำระเงิน ดูแลให้มีระบบมีประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการของประชาชน ธุรกิจ และภาครัฐ ทั้งด้านความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และด้วยราคาที่สมเหตุผล “วันนี้ เราอยู่ในจุดที่เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจต่างๆ เหมือนกัน และเราจะหารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตได้ในระดับที่เหมาะสม และเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินของประเทศดำรงอยู่ได้ ”
นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีมาตรการบรรเทาผลกระทบในช่วงปรับตัวของผู้ประกอบการ เช่น การชะลอการจัดชั้นหนี้เป็นหนี้ที่มีปัญหา การปรับโครงสร้างสินเชื่อสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงการออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถรองรับผลกระทบจากมาตรการของสหรัฐฯ และการเปิดตลาดใหม่ได้ โดยสินเชื่อพิเศษดังกล่าวจะมุ่งช่วยเหลือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบให้สามารถปรับตัวทางธุรกิจและปรับ Supply Chain ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านมูลค่าเพิ่มในประเทศ (RVC) ของสหรัฐฯ รวมถึงสนับสนุนธุรกิจที่ต้องการเพิ่มศักยภาพในการผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดใหม่แทนตลาดสหรัฐฯ
อีกทั้งยังมีแนวทางในการรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท เพื่อคงขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทผันผวนหรือแข็งค่ากว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค พร้อมส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging)
ในส่วนของข้อเสนอแนวทางการส่งเสริมสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ (Made in Thailand : MiT) นายนาวาเสนอให้ผลักดันการใช้สินค้า MiT อย่างจริงจัง โดยส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้ใช้สินค้า MiT และกำหนดให้เป็นตัวชี้วัด (KPI) ที่ชัดเจนในมติคณะรัฐมนตรี ให้หน่วยงานรัฐจัดซื้อจัดจ้างสินค้า MiT ผ่านระบบ e-bidding ภายใน 5 ปี รวมถึงให้ครอบคลุมถึงโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) พร้อมทั้งขยายตลาดสินค้า MiT สู่ภาคเอกชนภายใต้โครงการ “ซื้อของไทยเพื่อคนไทย” และผลักดันให้สินค้า MiT ก้าวสู่ตลาดโลก
นอกจากนี้ ยังเสนอให้จัดทำมาตรการสินเชื่อพิเศษสำหรับผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า MiT เพื่อเสริมความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจภายในประเทศ
ด้าน นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงมาตรการส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินและการแก้ปัญหาหนี้ของผู้ประกอบการ SMEs ว่าจากการระดมความเห็นของสมาชิก ส.อ.ท. ทั้ง 5 ภูมิภาค พบว่าปัญหาหลักของผู้ประกอบการส่วนใหญ่เกิดจากการขาดความรู้ ทักษะ นวัตกรรม บุคลากรเฉพาะทาง และเงินลงทุน ส.อ.ท. จึงได้เสนอแนวทางปฏิบัติเพื่อช่วยเหลือ SMEs อย่างเป็นรูปธรรม โดยเสนอให้มีมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแบบมีเป้าหมาย เปิดโอกาสให้ธนาคารพาณิชย์สามารถเข้าถึงแหล่งเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ หากปล่อยสินเชื่อให้กับ SMEs ที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมาย เช่น ผู้ประกอบการด้านการส่งออก นวัตกรรม หรือธุรกิจสีเขียว
นอกจากนี้ ยังเสนอให้สร้าง “ระบบเครดิตทางเลือก” ผ่านการพัฒนาแพลตฟอร์มกลาง เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถใช้ข้อมูลในการประเมินความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำมากขึ้น โดยอ้างอิงจากข้อมูลยอดขายผ่าน e-commerce ข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่ม และการชำระค่าน้ำ ค่าไฟ หรือค่าแรงของธุรกิจ พร้อมทั้งสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ “ธุรกิจสีเขียวและดิจิทัล” ด้วยการออกกรอบสินเชื่อพิเศษดอกเบี้ยต่ำ 2% สำหรับ SME ที่ลงทุนในพลังงานสะอาด การลดคาร์บอน ระบบอัตโนมัติ หรือการทำ Digital Transformation พร้อมปรับลดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเพื่อกระตุ้นการลงทุนของภาค SME
อีกทั้งยังเสนอให้ภาครัฐสนับสนุนการขยายพอร์ตการค้าประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จาก 30% เป็น 40% หรือปรับลดระยะเวลาการค้ำประกันต่อพอร์ตโฟลิโอลงจาก 10 ปี เหลือเพียง 5–7 ปี เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการเข้าถึงแหล่งทุน และเสนอให้จัดตั้ง “กองทุน SME” เพื่อใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย ลดอุปสรรคเรื่องหลักประกันและขั้นตอนที่ซับซ้อน มีอัตราดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม พร้อมทั้งให้กองทุนสามารถนำเงินหมุนเวียนกลับมาใช้ช่วยเหลือ SME รายอื่นต่อไป รวมถึงใช้ในการบริหารจัดการหนี้เสีย (NPL) อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับประเด็นความกังวลต่อค่าเงินบาทที่แข็งค่า นายเกรียงไกร กล่าวเสริมว่า ค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค ส่งผลให้ภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบต้องบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างรอบคอบ เนื่องจากค่าเงินเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออก โดยเฉพาะในภาวะที่ประเทศคู่แข่งเผชิญมาตรการ Reciprocal Tariff
ประเทศพึ่งพาการส่งออก 60% ของ GDP และจากภาคท่องเที่ยว 10% ของ GDP ค่าเงินบาทแข็งเกินไป เป็นเรื่องที่ กกร.ส่งสัญญาณเรื่องนี้ตลอด เพราะประเทศต้องค้าขายต่างชาติ ถ้าบาทแข็ง ก็สร้างแรงกดดันต่อภาคส่งออกทันที สินค้าแพงขึ้น และยังกระทบการท่องเที่ยวด้วย ดังนั้นจึงต้องหาจุดสมดุลปรับค่าเงินบาทอย่าให้แข็งเกินไป โดยปัจจุบันยังขาดการ “Connect the Dots” ระหว่างหน่วยงานผู้รับผิดชอบในแต่ละกิจกรรมที่ส่งผลต่อค่าเงินบาท ไม่ว่าจะเป็นธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กรมศุลกากร และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
นายวิทัย กล่าวทิ้งท้ายว่า “ธปท. มุ่งรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และไม่ให้ผันผวนมากจนส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ พร้อมเดินหน้าทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อบรรเทาผลกระทบ ตลอดจนผลักดันมาตรการต่างๆ เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน”
#สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย #บาทแข็ง #SMEs #อุตสาหกรรม #BOT #ธปท #สอท #เศรษฐกิจไทย #สภาอุตสาหกรรม #MReportTH #IndustryNews
บทความยอดนิยม 10 อันดับ
- ยอดขายรถยนต์ 2567
- 10 อันดับธุรกิจดาวรุ่ง ปี 2568
- คาร์บอนเครดิต คือ
- ยอดขายมอเตอร์ไซด์ 2567
- “ยานยนต์ไร้คนขับ” กับทิศทางการเติบโตในปี 2022-2045
- ยอดลงทุนปี 67 ทะลุ 1 ล้านล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์
- ยอดจดทะเบียนใหม่ยานยนต์ไฟฟ้า 2567
- สถิติส่งออกกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนไทยปี 2567
- เทคโนโลยีในงานโลจิสติกส์ มีอะไรบ้าง
- 5 เทคนิค “มือใหม่ใช้เครื่อง CNC”
อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th
Line / Facebook / X / YouTube @MreportTH