พาณิชย์ เอ็กซิมแบงก์ โครงการ “จับคู่กู้เงิน ลุยตลาด RCEP” สินเชื่อ SME ดอกเบี้ยต่ำสุด 2.75% ต่อปี ส่งออกไทย

'พาณิชย์' จับมือ EXIM BANK เปิดโครงการ “จับคู่กู้เงิน ลุยตลาด RCEP” หนุนสินเชื่อ SME ดอกต่ำสุด 2.75% ต่อปี

อัปเดตล่าสุด 11 ก.พ. 2565
  • Share :
  • 2,356 Reads   

'พาณิชย์' จับมือ EXIM BANK เปิดโครงการ “จับคู่กู้เงิน ลุยตลาด RCEP” ให้สินเชื่อพิเศษดอกเบี้ยต่ำสุด 2.75% ต่อปี สร้างผู้ส่งออก SMEs ทุกกลุ่มอุตสาหกรรม พาสินค้าไทยบุกตลาดใหญ่ 1 ใน 3 ของโลก

วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ “จับคู่กู้เงิน ลุยตลาด RCEP” พร้อมด้วยนางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 ณ ห้องบุรฉัตรไชยากร ชั้น 4 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์

นายจุรินทร์ กล่าวว่า โครงการนี้ถือเป็นนโยบายหนึ่งของกระทรวงพาณิชย์ที่มอบหมายให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เป็นเจ้าภาพร่วมกับ EXIM BANK บสย. และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดโครงการที่ดำเนินการมาถึง 3 Lot คือ Lot 1 จับคู่กู้เงิน สถาบันการเงินกับร้านอาหาร โดยได้รับความร่วมมือจากสถาบันการเงินหลายแห่งมาช่วยต่อลมหายใจในรูปแบบเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเงื่อนไขพิเศษ และมี บสย. มาช่วยให้บรรลุเป้าหมายซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 64 - ต.ค. 64 สามารถปล่อยกู้ให้กับร้านอาหารทั่วประเทศได้ถึง 2,895 ราย วงเงิน 2,627 ล้านบาท เพราะความร่วมมือของสถาบันการเงินที่ผ่อนปรนจึงเกิดเป็นรูปธรรมได้จริง และ Lot ที่ 2 จับคู่กู้เงิน สถาบันการเงินกับ SMEs ส่งออก ช่วงเดือน ก.ค. 64 - 28 ก.พ. 65 ปล่อยกู้ได้ 611 ราย วงเงิน 4,000 กว่าล้านบาท ครั้งนี้ถือเป็น Lot ที่ 3 จับคู่กู้เงินระหว่าง EXIM BANK กับผู้ประกอบการที่จะบุกตลาด RCEP ซึ่งมีทั้ง SMEs วิสาหกิจชุมชน สตาร์ทอัพ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้มีโอกาสได้สินเชื่อเงื่อนไขผ่อนปรนพิเศษไปต่อยอด เพื่อบุกตลาด RCEP นำเงินเข้าประเทศต่อไปภายใต้ความร่วมมือของกระทรวงเอกชนและสถาบันการเงิน

นายจุรินทร์ เพิ่มเติมว่า ตนเป็นผู้หนึ่งที่เข้าไปมีส่วนร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่เราเป็นเจ้าภาพ ตนเป็นประธานในช่วงที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ซึ่งมี 20 เรื่องต้องหาข้อสรุป มาถึงประเทศไทยจบมา 7 เรื่อง เหลืออีก 13 เรื่อง เราใช้เวลา 1 ปี บากบั่นมุ่งมั่นในที่สุดได้ข้อสรุปครบทั้ง 20 ข้อบท สามารถลงนามได้ โดยผู้นำประเทศของ 15 ประเทศ สามารถลงนามร่วมกันได้ ทำให้ความตกลง RCEP มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคมปีนี้ แม้มีบางประเทศที่ยังไม่มีผลใช้บังคับ เนื่องจากอยู่ระหว่างการดำเนินการภายในประเทศ และคาดว่าจะมีผลใช้บังคับครบทั้ง 15 ประเทศโดยเร็ว ถือว่านับหนึ่งแล้วสำหรับประเทศไทยที่บังคับใช้แต่ 1 มกราคม 2565 ซึ่ง RCEP เป็น FTA ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีประชากรรวมกันประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรโลก และ GDP ประมาณ 1 ใน 3 ของ GDP โลก ที่สำคัญการค้าทั้งหมดของไทยที่มีกับโลกเป็นการค้าของไทยกับกลุ่มประเทศ RCEP 14 ประเทศ ถึงกว่าครึ่งหนึ่ง การเตรียมการสำหรับการบุกตลาดอย่างเป็นรูปธรรมมีความสำคัญในการนำรายได้เข้าประเทศต่อไป

นอกจากนี้ ทันทีที่ RCEP บังคับใช้ สินค้าที่ไทยส่งออกไปยังสมาชิก 39,366 รายการ จะภาษีเป็นศูนย์ และเป็นศูนย์ทันทีถึง 29,891 รายการ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลที่เราจะได้รับ “จับคู่กู้เงิน ลุยตลาด RCEP” จะเป็นหัวใจสำคัญอีกประการหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้สิ่งนี้เป็นจริงได้ในอนาคตอันใกล้ สำหรับการจับคู่กู้เงินครั้งนี้ต้องขอขอบคุณ EXIM BANK ที่มีเงื่อนไขผ่อนปรนมาก และดอกเบี้ยปกติในตลาดประมาณ 5.75% แต่โครงการนี้เหลือแค่ 2.75% ต่อปีในปีแรก วงเงินรายละไม่เกิน 50 ล้านบาท และที่สำคัญทันทีที่รับคำขอ จะมีคำตอบใน 7 วันทำการ ได้เตรียมวงเงินไว้กว่า 3,000 ล้านบาท สำหรับโครงการครั้งนี้ และ บสย.มาช่วยค้ำประกันให้ ภายใต้เงื่อนไขของบริษัทที่ผ่อนปรนและที่สำคัญจะไม่จัดเฉพาะวันนี้ จะมีการเดินสายทั้งในกรุงเทพฯ และ 4 ภูมิภาคด้วย เพื่อเปิดโอกาสให้ SMEs สตาร์ทอัพในต่างจังหวัดได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้คล่องตัวสะดวกขึ้น และจะมีระบบออนไลน์ในการยื่นเงื่อนไขเพื่อให้สะดวกขึ้น

ทั้งนี้ ความตกลง RCEP เป็นความตกลงการค้าเสรี (FTA) ฉบับที่ 14 ของไทย โดยมี GDP รวมมูลค่า 28.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (33.6% ของ GDP โลก) และมูลค่าการค้ารวม 10.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (30.3% ของมูลค่าการค้าของโลก) สำหรับปี 2564 การค้าของไทยกับกลุ่มประเทศ RCEP มีมูลค่ารวม 3.11 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (57.7% ของการค้ารวมของไทย) โดยไทยส่งออกไป RCEP มูลค่า 1.46 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (53.8% ของการส่งออกไทยไปโลก) และไทยนำเข้าจาก RCEP มูลค่า 1.65 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (61.7% ของการนำเข้าไทยจากโลก)

สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ RCEP Center กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ Call Center โทร. 0 2507 7555 หรือสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.dtn.go.th

 

บทความยอดนิยม 10 อันดับ

 

อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th   

Line / Facebook / Twitter / YouTube @MreportTH