บทวิเคราะห์ กลยุทธ์ใหม่ Apple และ iPhone 11

อัปเดตล่าสุด 14 ก.ย. 2562
  • Share :
  • 2,271 Reads   

เมื่อวันที่ 10 กันยายน (ตามเวลาท้องถิ่น) บริษัท Apple ได้ประกาศเปิดตัว “iPhone 11” สมาร์ทโฟนโมเดลใหม่ ซึ่งมีจุดที่น่าสนใจคือ ราคาที่ถูกลงจากโมเดลก่อนหน้ามาก ตอกย้ำความต้องการแข่งขันด้านราคาในตลาดของบริษัทให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ในขณะที่โมเดลอื่น มีจุดขายคือประสิทธภาพที่เพิ่มขึ้น และกล้องแบบ 3 ตัว พร้อมประกาศบริการเสริมอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ในยุคที่ตลาดสมาร์ทโฟนมีการแข่งขันรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะการรุกตลาดของค่ายจีน และเกาหลี ทำให้ไม่เป็นที่แน่ชัดว่า อนาคตของ Apple ในตลาดสมาร์ทโฟนจะเป็นอย่างไรต่อไป

ถูกกว่าเดิม

Mr. Tim Cook CEO บริษัท Apple นำเสนอ iPhone 11 ว่า เป็น “iPhone ที่ก้าวหน้าที่สุด และทรงพลังที่สุด” 


Mr. Tim Cook CEO บริษัท Apple ขณะนำเสนอ iPhone 11

โดย iPhone รุ่นใหม่ทั้ง 3 โมเดล มีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 20 กันยายนนี้ โดยรุ่น “11” เป็นโมเดลที่พัฒนาต่อจาก “XR” โดยตรง และมีราคาที่ถูกลง สวนทางกับแนวทางที่ผ่านมา ซึ่ง iPhone ทุกรุ่นมีราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยสิ้นเชิง 

ส่วน “11 Pro” และ “11 Pro Max” มีจุดเด่นที่จอ OLED และมีราคาเพิ่มขึ้นจากรุ่นปกติตามลำดับ และติดตั้งกล้อง 3 ตัว อย่างไรก็ตาม ทั้ง Huawei และ Samsung ต่างมีสมาร์ทโฟนที่ใช้กล้อง 4 ตัวอยู่แล้ว จึงเป็นที่น่าสงสัยว่า จะสามารถสร้างความแตกต่างในตลาดได้อย่างไร

IDC America รายงานว่า ในไตรมาสที่ 2 ปี 2019 Apple มีส่วนแบ่งยอดขายสมาร์ทโฟนทั่วโลกอยู่ที่ 3.38 ล้านเครื่อง หรือราว 10% ของตลาด มากเป็นลำดับที่ 3 จากทั้งหมด ในขณะที่ลำดับที่ 2 คือ Huawei (17.6%) และลำดับที่ 1 คือ Samsung (22.7%) โดยมีสาเหตุจากราคาของ iPhone ซึ่งมีราคาสูง สวนทางกับตลาดที่เกิดการชะลอตัว และพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งต้องการเปลี่ยนสมาร์ทโฟนน้อยลง

นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple ยังไม่รองรับเทคโนโลยี 5G ส่งผลให้ iPhone 11 ถูกมองว่าเป็นสินค้าตกยุค ในขณะที่ทั่วโลกกำลังตื่นตัวกับ 5G เช่นนี้


 Apple Store สาขาสถานีรถไฟโตเกียว

รายได้จากบริการ

นอกจากการชะลอตัวของตลาดแล้ว ยอดขายอุปกรณ์เสริมซึ่งไม่ดีนัก ส่งผลให้ Apple ตัดสินใจใช้บริการเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการสร้างรายได้ โดยในวันเปิดตัวสินค้า Apple ได้ประกาศบริการ 2 ด้าน คือ “Apple Arcade” สำหรับเกม ซึ่งจะเปิดให้บริการในวันที่ 19 กันยายน และ “Apple TV+” บริการภาพยนตร์ ซึ่งจะให้บริการวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ในกว่า 150 ประเทศทั่วโลก

ผู้เกี่ยวข้องคาดการณ์ว่า ราคาของ Apple ซึ่งถูกกว่า Netflix ซึ่งครองตลาดอยู่ในปัจจุบัน เป็นอีกสิ่งที่ย้ำว่ากลยุทธ์ของ Apple ในครั้งนี้คือการแข่งขันด้านราคาอย่างแท้จริง และมีความเป็นไปได้สูงมากว่าบริษัทจะหันมาใช้บริการต่าง ๆ ในการสร้างรายได้หลักของธุรกิจในอนาคต

สงครามการค้า กระทบตลาดสมาร์ทโฟนโดยตรง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผลิตภัณฑ์ใหม่จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้น และราคาถูกลงแล้ว แต่ก็ยังมีปัจจัยภายนอกอย่างการขึ้นภาษี และสงครามการค้า ทำให้ไม่แน่ชัดว่า iPhone 11 จะสามารถทำยอดขายในจีนได้มากน้อยแค่ไหน อย่างไรก็ตาม ซัพพลายเออร์ในญี่ปุ่น แสดงความเห็นว่าสงครามการค้าจะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มากนัก เนื่องจากการเปิดตัวสินค้าใหม่ จะนำมาซึ่งความต้องการชิ้นส่วนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้กล้อง 3 ตัวของ 11 Pro ซึ่งทำให้ความต้องการ Actuator เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

ในกรณีที่ 11 Pro ทำยอดขายได้ดี ความต้องการ Actuator ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นอีก และด้วยความที่กล้องแต่ละตัว ต้องใช้ Actuator ของตัวเอง ทำให้ความต้องการมีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดย Mr. Toshinori Kobayashi เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Alps Alpine ผู้ครองส่วนแบ่งในตลาด Actuator ระดับโลกไว้จำนวนมาก กล่าวแสดงความเห็นว่า “ยอดขายหลังจากนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง” ส่วน Mr. Katsuhiko Yoshida เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท MinebeaMitsumi เอง ก็แสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า “ยังไม่เห็นว่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด”

อย่างไรก็ตาม ในมุมผู้บริโภคนั้น กล้อง 3 ตัวไม่ใช่เรื่องใหม่ และแม้ราคาจะถูกลง แต่ก็ยังอยู่ในกลุ่มสมาร์ทโฟนราคาสูง ทำให้หลายคนมองว่าไม่มีความจำเป็นต้องซื้อมาใช้ โดย Mr. Yoshio Imanaka หัวหน้านักวิเคราะห์จาก Rakuten Securities ได้กล่าวเตือนผู้ผลิตชิ้นส่วนว่า “จำเป็นต้องพิจารณาจากยอดขายโดยรวมอีกทีเสียก่อน”

หรือว่าจะไม่ต่างจากเดิมมาก

Mr. Toshinori Kobayashi เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Alps Alpine ชี้แจงว่า “ปัจจุบัน บริษัทมีแผนลงทุนพัฒนาสินค้า 5G เป็นอย่างมากในช่วงปี 2019 และ 2020” ในขณะที่ Mr. Tsuneo Murata CEO บริษัท Murata Manufacturing กล่าวย้ำว่า “สิ่งที่จะทำให้สมาร์ทโฟนขายดีขึ้นได้คือ 5G” ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไปใน iPhone 11 ทั้งที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์คาดหวังให้เป็นส่วนหนึ่ง ซึ่ง Mr. Yoshio Imanaka หัวหน้านักวิเคราะห์จาก Rakuten Securities กล่าวแสดงความเห็นว่า “Apple จะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้ ก็ต่อเมื่อเข้าสู่ตลาด 5G เท่านั้น”