ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.ค. 2568 ร่วงต่ำสุดในรอบ 31 เดือน | เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.ค. 2568 ร่วงต่อเนื่อง ต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปีครึ่ง

อัปเดตล่าสุด 7 ส.ค. 2568
  • Share :

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงเป็นเดือนที่ 6 ท่ามกลางความกังวลการเมือง สงครามการค้า และเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า แม้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนกรกฏาคม 2568 ที่จัดทำโดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและหอการค้าไทย ได้ดำเนินการโดยออกแบบสอบถามตัวอย่างจากประชาชน ทั่วประเทศเป็นจำนวน 2,243 คน แยกเป็นกลุ่มตัวอย่างในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ร้อยละ 40.2 และต่างจังหวัดร้อยละ 59.8 โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชาย และเพศหญิง ประมาณร้อยละ 49.9 และ 50.1 ตามลำดับ

ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อดัชนีความเชื่อมั่นของหอการค้าไทย

ปัจจัยด้านบวก

  • สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับเพิ่มคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.2 ต่อปี ภายใต้สถานการณ์นโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ และผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศของประเทศคู่ค้าของไทย อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยสามารถ ขยายตัวได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับผลการประมาณการเศรษฐกิจครั้งก่อนที่ร้อยละ 2.1 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกที่ขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้ ประกอบกับการบริโภคภายในประเทศที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
  • รัฐบาลออกมาตรการกระต้นเศรษฐกิจด้านการท่องเทียว โครงการ "เที่ยวไทยคนละครึ่ง" ประจำปี 2568 เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภาคประชาชน ผ่านการท่องเที่ยวภายในประเทศ ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องสนับสนุนการสร้างงานและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งสามารถจองใช่สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป และสามารถเริ่มใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม ถึง 31 ตุลาคม 25
  • การส่งออกของไทยในเดือนมิถุนายน 2568 มีมูลค่า 28,649.89 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 15.49% ขณะที่การน่าเข้ามีมูลค่า 27,588.19 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 13.1296 ส่งผลให้เกินดุลการค้า 1,061.70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ช่วง 6 เดือนแรกปี 2568 ส่งออกได้รวม 166,851.89 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.03 และมีการนำเข้ารวม 166,914.09 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.59 ส่งผลให้ขาดดุลการค้ารวม 62.20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
  • SET Index ในเดือนกรกฎาคม 2568 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 152.79 จุด โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น 1,089.56 จุด ณ สิ้นเดือนมิถนายน 2568 เป็น 1,242.35 จุด ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2568 จากคาดการณ์ของนักลงทุนในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมว่าสหรัฐจะคิดภาษีนำเข้าจากประเทศไทยเพียง 15-20% จากเดิมที่กำหนดไว้ที่ 36%
  • ระดับราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวลดลด โดยราคาน้ำมันขายปลีกแก๊สโก้สโซฮอล ออกเทน 91 (E10) และแก๊สโซฮอล ออกเทน 95 (E10) ปรับตัวลดลงประมาณ 0.70 และ 0.70 บาทต่อลิตรจากระดับ 32.78 และ 33.15 บาทต่อลิตร ณ สิ้นเดือนมิถนายน 2568 ตามลำดับ มาอยู่ที่ระดับ 32.08 และ 32.45 บาทต่อลิตร ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2568 ตามลำดับ ส่วนราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกในประเทศ ยังคงทรงตัวจากเดือนที่มา โดยอยู่ที่ระดับ 31.94 บาทต่อลิตร ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2568
  • ราคาพืชผลทางการเกษดรหลายรายการปรับตัวดีขึ้นหรือทรงตัวในระดับที่ดีเกือบทุกรายการสำคัญ ส่งผลให้เกษตรกรเริ่มมีรายได้สงขึ้น อย่างไรก็ดี ราคาข้าว มันสำปะหลัง และยางพารา มีราคาไม่ค่อยดี
  • คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมดิเห็นชอบมาดรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย โดยลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์จาก 2.00% เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาฯ จาก 1.00% เหลือ 0.01% ที่มีราคาซื้อและราคาประเมิน ไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาทต่อสัญญา เพื่อช่วยส่งเสริมประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง ช่วยรักษาระดับกิจกรรมทางเศรษฐก็อสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน รวมถึงส่งเสริมการลงทนภายในประเทศให้เกิดการจ้างงานและการผลิต
  • เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย จากระดับ 32.623 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นเดือนมิถนายน 2568 เป็น 32.439 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สินเดือนกรกฎาคม 2568 สะท้อนว่ามีการไหลเข้าสุทธิของเงินตราต่างประเทศ

ปัจจัยด้านลบ

  • ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายกฯ แพทองธาร ชินวัดร หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา ส่งผลให้ผู้บริโภคเริมมีความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองในอนาคต
  • ความกังวลเกี่ยวกับภาษีการค้าของสหรัฐที่จะเก็บภาษีน่าเข้าสินคำจากประเทศไทยในอัดราสูงถึง 36% ครอบคลุมสินค้าทุกประเภท โดยจะเริ่มจัดเก็บตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 หากการเจรจาระหว่างสหรัฐกับไทยไม่สำเร็จ
  • ความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายไทย - กัมพูชา ที่ยกระดับจนเกิดเหตุรุนแรงจนเกิดการสู้รบในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม แม้ว่าจะมีการเจรจาหยุดยิงก็ตาม แต่สถานการณ์ดังกล่าว ยังส่งผลให้เกิดความกังวลต่อประชาชนในจังหวัดตามแนวชายแดนไทยกัมพูชารวมทั้งบรรยากาศการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนที่ชะงักงัน
  • ความกังวลต่อสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดโดยเฉพาะในภาคเหนือ ที่สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงผลผลิตทางการเกษตร
  • บริโภคมีความรู้สึกว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า ตลอดจนปัญหาค่าครองชีพ รวมถึงผู้บริโภคยังรู้สึกว่ารายได้ในปัจจุบันไม่สอดคลองกับค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น
  • ราคาข้าวเปลือกเจ้า มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน อยู่ในระดับต่ำกว่าปีที่ผ่านมา อาจส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่มากนัก มีผลต่อกำลังซื้อในบางพื้นที่ต่างจังหวัดในระยะนี้
  • ความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่ยังคงยืดเยื้อ ทั้งสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับขบวนการฮามาส (Hamas) ตลอดจนสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่รุนแรงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันและพลังงานโลกยังทรงตัวสูงและกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า ซึ่งอาจเป็นปัจจยัที่เพิ่มแรงกดดันของการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจโลกให้ช้าลงหรือชะลอตัวลง และอาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อการส่งออกและเศรษฐกิจไทยในอนาคต

จากผลของการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนกรกฎาคม 2568 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่อง เป็นเดือนที่ 6 และอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 31 เดือนนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2566  เป็นต้นมา เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพของรัฐบาลและการเมืองของไทยและสงครามการค้าจากนโยบาย Trump 2.0 ตลอดจนสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาแม้ว่าจะมีการเจรจาหยุดยิงแล้วก็ตาม ส่งผลให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยกำลังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยได้ใช้นโนบายการเงินผ่อนคลายจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายตั้งแต่ต้นปีมาแล้ว 2 ครั้งรวม 0.5% อยู่ที่ 1.75% แต่ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ช้าและการเข้าถึงสินเชื่อลำบาก

ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 45.6  49.8  และ 59.6  ตามลำดับ  ปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 โดยปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับดัชนีในเดือนมิถุนายน ที่อยู่ในระดับ 46.7 50.6 และ 60.9 ตามลำดับ การที่ดัชนียังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ (ที่ระดับ 100) แสดงว่า ผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โอกาสในการหางานทำ และรายได้ในอนาคต เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในประเทศ และค่าครองชีพที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ตลอดจนปัญหาเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลงจากสงครามการค้าที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยและการจ้างงานมีโอกาสฟื้นตัวได้ช้าในอนาคต ซึ่งจะทำให้รายได้ในอนาคตของผู้บริโภคมีความไม่แน่นอนสูง

ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของผู้บริโภค (Consumer Confidence Index: CCI) ปรับตัวลดลงจากระดับ 52.7 เป็น 51.7 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 31 เดือนนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2566  เป็นต้นมา การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมยังคงเคลื่อนไหวคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 แสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้า และค่าครองชีพสูง ตลอดจนปัญหาสงครามการค้า ยังคงมีโอกาสบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างต่อเนื่องในระยะอันใกล้นี้

ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันปรับตัวลดลงจากระดับ 37.6 เป็น 36.7 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตปรับตัวลดลงจากระดับ 60.1 มาอยู่ที่ระดับ 58.9 การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 แสดงว่า ผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นของบริโภคลดลงได้ในอนาคตหากการเมืองไทยขาดเสถียรภาพและเศรษฐกิจไม่สามารถจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นได้อย่างรวดเร็วภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

#ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค #เศรษฐกิจไทย #GDP Thailand #อุตสาหกรรมไทย #MReportTH #IndustryNews

 

ทความยอดนิยม 10 อันดับ

 

อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th   

Line / Facebook / X / YouTube @MreportTH