ดัชนี SMESI ส.ค. 68 อยู่ที่ระดับ 48.8 ปรับลดต่อเนื่อง สะท้อนเศรษฐกิจชะลอตัว

ดัชนี SMESI ส.ค. 68 อยู่ที่ระดับ 48.8 ปรับลดต่อเนื่อง สะท้อนเศรษฐกิจชะลอตัว

อัปเดตล่าสุด 30 ก.ย. 2568
  • Share :

ดัชนี SMESI ส.ค. 68 อยู่ที่ระดับ 48.8 ปรับลดลงต่ำกว่าฐานต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 สะท้อนภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ความไม่แน่นอนทางการเมือง รวมถึงมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯที่เริ่มมีผลบังคับใช้ หากภาครัฐสามารถเร่งเดินหน้านโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างรายได้ การกระตุ้นการบริโภค การเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจ และดึงดูดการลงทุนได้ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจให้ฟื้นตัวกลับมาได้อีกครั้ง

Advertisement

30 กันยายน 2568 - นางสาวปณิตา ชินวัตร  รองผู้อำนวยการรักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME (SMESI) ประจำเดือนสิงหาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 48.8 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องและตํ่ากว่าระดับฐานเป็นเดือนที่ 2 สะท้อนถึงกำลังซื้ออ่อนแอจากทั้งรายได้ภาคการเกษตรที่หดตัวตามราคาสินค้าและรายได้

นอกภาคการเกษตรที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ประกอบกับช่วงการเก็บข้อมูลยังมีความกังวลทางด้านการเมือง ส่งผลให้ผู้ประกอบการชะลอการตัดสินใจลงทุนและการจ้างงานใหม่ แม้จะเริ่มมีความชัดเจนด้านมาตรการภาษีนำเข้าใหม่ของสหรัฐฯ ที่ร้อยละ 19 ซึ่งยังคงสามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้ แต่เมื่อเทียบกับอัตราภาษีเดิมที่เฉลี่ยประมาณร้อยละ 5 ภาระที่เพิ่มขึ้นยังคงกดดันความสามารถในการทำกำไรของผู้ประกอบการ เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของดัชนีในเดือนสิงหาคม พบว่า องค์ประกอบทุกด้านปรับตัวลดลงจากสภาวะเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะชะลอตัว ไม่มีคำสั่งซื้อใหม่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ด้านคำสั่งซื้อโดยรวมและปริมาณการผลิต/การค้า/การบริการ ปรับลดลงอยู่ที่ระดับ 50.2 และระดับ 50.9 จากระดับ 50.4 และระดับ 51.0 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งสอดคล้องกับองค์ประกอบด้านการลงทุนโดยรวม ด้านต้นทุนรวม (ต่อหน่วย) ด้านกำไร ด้านการจ้างงาน ที่ปรับลดลงต่ำกว่าค่าฐานอยู่ที่ระดับ 48.1, 44.5, 49.4 และ 49.6 จากระดับ 48.4, 45.0, 49.7 และ 49.8 ตามลำดับ เนื่องจากธุรกิจไม่มีกำไรเพื่อการลงทุนเพิ่มเติม

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME รายสาขาธุรกิจ 

เมื่อพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME รายสาขาธุรกิจ พบว่า ค่าของดัชนีของทุกภาคธุรกิจอยู่ต่ำกว่าค่าฐานเนื่องจากขาดความเชื่อมั่นต่อสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน

ภาคการผลิต อยู่ที่ระดับ 47.3 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 48.2 จากคำสั่งซื้อในประเทศชะลอตัว ขณะที่ผู้ส่งออกบางกลุ่มได้รับผลกระทบจากมาตราอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ 19% รวมทั้งต้นทุนวัตถุดิบ พลังงาน ดอกเบี้ยยังสูง ผู้ประกอบการชะลอการลงทุน/จ้างงาน บริหารจัดการสินค้าคงเหลือให้น้อย และเน้นสินค้ามูลค่าเพิ่มหรือรับจ้างผลิตในห่วงโซ่

ภาคการค้า อยู่ที่ระดับ 48.7 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 49.1 ยังคงหดตัวต่อเนื่อง แม้บางพื้นที่เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวจากบรรยากาศชายแดนที่คลี่คลายลง แต่แรงกดดันจากกำลังซื้อที่อ่อนแอ และการแข่งขันจากผู้ประกอบการรายใหญ่ ยังคงฉุดรั้งกิจกรรมทางการค้า ส่งผลให้ความเชื่อมั่นภาคการค้ายังอยู่ในสภาวะถดถอย

ภาคการบริการ อยู่ที่ระดับ 49.8 ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 49.7 ซึ่งขยายตัวเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าแม้ว่าภาพรวมยังเผชิญแรงกดดันจากกำลังซื้อที่อ่อนแอ ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และผลจากการท่องเที่ยวที่ซบเซาเมื่อเทียบกับปีก่อนซึ่งมีการพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก รวมถึงมาตรการกระตุ้นที่ส่งผลจำกัดต่อเมืองรอง อย่างไรก็ตาม ในกรุงเทพฯ ร้าน Street food/ ตามสั่งใกล้ออฟฟิศเริ่มกลับมาความคึกคักขึ้น

ภาคธุรกิจการเกษตร อยู่ที่ระดับ 48.6 ยังทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า สาเหตุมาจากราคาพืชผลบางชนิด (เช่น ลำไย) และปศุสัตว์ (โคเนื้อ) อยู่ในระดับต่ำ กดดันรายได้เกษตรกรและการใช้จ่ายในพื้นที่ที่พึ่งพากำลังซื้อภาคการเกษตร ขณะที่ต้นทุนปัจจัยการผลิตยังอยู่ในระดับสูงและความเสี่ยงจากสภาพอากาศที่แปรปรวน

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME รายภูมิภาค 

เมื่อพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME รายภูมิภาค พบว่า ค่าดัชนีความเชื่อมั่นระดับภูมิภาคทั้งหมดขาดความเชื่อมั่นต่อภาพเศรษฐกิจ และส่วนใหญ่ยังปรับตัวลดลงต่อเนื่องอีกด้วย ดังนี้

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 49.2 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 48.6 โดยความเชื่อมั่นเริ่มดีขึ้นหลังเหตุปะทะชายแดนคลี่คลาย ส่งผลให้การจับจ่ายดีขึ้นบางส่วน รายได้เกษตรกรอ่อนไหวจากราคาพืชผล พื้นที่ชายแดนบางส่วนยังจำกัดการกลับเข้าที่อยู่อาศัยหรือประกอบกิจการ ทำให้กำลังซื้อฟื้นตัวช้าส่งผลให้รายได้ธุรกิจยังอ่อนแรง

ภาคตะวันออก อยู่ที่ระดับ 49.2 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 48.8 ความเชื่อมั่นในพื้นที่ปรับตัวดีขึ้นตามการคลี่คลายจากเหตุการณ์ชายแดน ส่งผลให้ภาคการค้าเริ่มฟื้นตัวจากเดือนก่อน อย่างไรก็ตาม ผลจากการปิดด่านชายแดนถาวรยังกระทบต่อธุรกิจที่พึ่งพาแรงงานกัมพูชา โดยเฉพาะภาคการค้าและการก่อสร้างที่ยังไม่สามารถดำเนินกิจการได้

เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่ 48.5 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 49.1 ความเชื่อมั่นในพื้นที่ปรับตัวลดลง นำโดยกลุ่มก่อสร้างและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องจากการขาดแคลนแรงงานกัมพูชาที่ใช้ในงานก่อสร้าง ขณะที่ความเชื่อมั่นหมวดร้านอาหารเริ่มปรับดีขึ้นเล็กน้อย

ภาคใต้ อยู่ที่ 48.4 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 49.1 เป็นผลตามฤดูกาลในช่วง Low season ซึ่งซบเซากว่าปีก่อนส่งผลให้กิจกรรมเศรษฐกิจชะลอตัว แม้ในระยะสั้น ภูเก็ต และเกาะสมุยจะได้รับผลดีจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่มาตรการเที่ยวไทยคนละครึ่งส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวในเมืองรองการใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่ลดลงอย่างชัดเจน

ภาคเหนือ อยู่ที่ 49.0 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 49.8 ภาคการผลิตกลุ่มสินค้าจำเป็นมีปริมาณคำสั่งซื้อที่ลดลง รวมถึงภาคธุรกิจเริ่มมีการลดกำลังการผลิตลงสอดรับกับยอดขายที่ต่ำ โดยเฉพาะหมวดเสื้อผ้าและสิ่งทอ และกลุ่มไม้และเฟอร์นิเจอร์ นอกจากนี้ราคาสินค้าเกษตรสำคัญในพื้นที่อาทิลำไยที่ราคาตก ส่งผลต่อกำไรของภาคธุรกิจการเกษตร

ภาคกลาง อยู่ที่ 48.3 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 49.2 มีระดับต่ำกว่าทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในภาคการค้าที่ผู้บริโภคมีความอ่อนไหวต่อราคา และยังมีการจัดกิจกรรมลดราคาจากผู้ประกอบการรายใหญ่มากขึ้น โดยเฉพาะหมวดอาหาร ส่งผลให้ธุรกิจ SME แข่งขันได้อย่างจำกัด ขณะที่ภาคธุรกิจการเกษตรเผชิญราคาสินค้ากลุ่มปศุสัตว์ตกต่ำ โดยเฉพาะหมวดโคเนื้อเป็นสำคัญ

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 50.3 ปรับตัวลดลงเกือบหลุดระดับค่าฐานเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การระบาดของ COVID-19 ในปี 2564 จากความไม่มั่นใจสถานการณ์การเมือง ขณะที่แรงกดดันจากกำลังซื้อมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง แม้เดือนพฤศจิกายนจะเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวสัญชาติยุโรปและอเมริกาก็ตาม

จากสถานการณ์ปัญหาหลายด้านที่รุมเร้า SME จึงมีความต้องการช่วยเหลือ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปัญหาด้านกำลังซื้อ ต้นทุน และสภาพคล่อง เนื่องจากการบริโภคของประชาชนในระดับชุมชนยังคงอ่อนแอ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อรายได้ของผู้ประกอบการรายเล็กซึ่งพึ่งพาลูกค้าในพื้นที่เป็นหลัก ภาครัฐจึงควรพิจารณามาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายที่ตรงเป้า การลดอัตราค่าน้ำ–ค่าไฟฟ้าสำหรับกิจการรายเล็ก การรวมศักยภาพการจัดซื้อวัตถุดิบผ่านสหกรณ์หรือแพลตฟอร์มกลางของรัฐเพื่อให้ได้ราคาที่เหมาะสมและลดต้นทุนการดำเนินงาน นอกจากนี้ SME ส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้ เนื่องจากขาดหลักทรัพย์ค้ำประกันและมีรายได้ไม่แน่นอน ภาครัฐควรสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนขนาดเล็กผ่านโครงการสินเชื่อรายย่อยพิเศษ (Micro Credit) วงเงินไม่สูง ดอกเบี้ยต่ำ และไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน เพื่อบรรเทาปัญหาสภาพคล่องและลดภาระหนี้สิน ทั้งนี้ผู้ประกอบการ SME สามารถขอรับคำปรึกษาหรือขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการต่าง ๆ ของ สสว. หรือผ่านแอปพลิเคชัน SME Connext ที่ได้รวบรวมโครงการและความช่วยเหลือต่าง ๆ ของ สสว. รวมถึงหน่วยงานเครือข่ายเพื่อส่งเสริมหรือสนับสนุนการประกอบธุรกิจ หรือสอบถามรายละเอียดโครงการต่าง ๆ ได้ที่ศูนย์ให้บริการ SME ครบวงจรในทุกจังหวัดทั่วประเทศ หรือที่ สสว. Call Center โทร. 1301

 

#ดัชนี SME #ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME #รายงานสถานการณ์ SME ส สว #ดัชนีชี้วัดภาวะเศรษฐกิจ #ดัชนีคำสั่งซื้อ SME #ดัชนีการผลิต SME #ดัชนีการค้า SME #ดัชนีการบริการ SME #ดัชนีการลงทุน SME #ดัชนีกำไร SME #ดัชนีการจ้างงาน SME

 

บทความยอดนิยม 10 อันดับ

 

อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th   

Line / Facebook / X / YouTube @MreportTH