บทวิเคราะห์ดัชนีเชิงปริมาณ ความเอนเอียงของการค้าสินค้าเซมิคอนดักเติร์ไปสู่จีน
การวิเคราะห์เชิงลึกชี้ “ดัชนีความเข้มข้นทางการค้า (TII)” มีอิทธิพลสูงสุดต่อการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ไปจีน สะท้อนบทบาทสำคัญของเอเชียในห่วงโซ่อุปทานโลก และแนวโน้มพึ่งพาตลาดจีนที่เพิ่มขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางเทคโนโลยี
การแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ เป็นความเสี่ยงสำคัญต่อความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานโลก การเติบโตทางเศรษฐกิจ และการกำหนดอำนาจในเวทีโลก โดยความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสองมหาอำนาจของโลกนี้ เริ่มจากการที่สหรัฐฯ มองว่าจีนเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและผลประโยชน์ของตน จนนำไปสู่สงครามการค้า (Trade War) ตั้งแต่ปี 2018 ผ่านมาตรการภาษีตอบโต้และขยายวงสู่การแย่งชิงความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีจนเกิดเป็นสงครามเทคโนโลยี (Tech War) ซึ่งทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างเร่งกำหนดยุทธศาสตร์ นโยบาย และกฎหมายเพื่อผลักดันอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์อย่างเซมิคอนดักเตอร์ เสริมสร้างความได้เปรียบทางเทคโนโลยีและรักษาตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมดังกล่าว ความตึงเครียดนี้นำไปสู่ความไม่แน่นอนของห่วงโซ่อุปทาน การแบ่งขั้วทางเทคโนโลยี และสร้างแรงกดดันต่อประเทศที่สามที่ต้องรักษาสมดุลระหว่างสองมหาอำนาจ
จากข้อมูลมูลค่าการนำเข้าและส่งออกสินค้าเซมิคอนดักเตอร์สูงสุด 10 ประเทศในปี 2022 - 2024 (ภาพที่ 1 - ภาพที่ 6) พบว่า ในปี 2024 ที่ผ่านมา ทั้งมูลค่าการนำเข้าและส่งออกทั่วโลกมีการขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 6.31 และ ร้อยละ 6.23 ตามลำดับ สะท้อนถึงแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในตลาดโลก อันเป็นผลมาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง
ในการวิเคราะห์โครงสร้างตลาด พบว่า จีนยังคงเป็นผู้นำเข้าหลักของโลกด้วยสัดส่วนมากถึงร้อยละ 31.64 ของการนำเข้าทั้งหมด ซึ่งสะท้อนถึงอุปสงค์ในสินค้าดังกล่าวเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ ประเทศที่มีมูลค่า
การส่งออกสูงสุดยังคงเป็นประเทศที่มีบทบาทสูงในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก (Global Supply Chain) อย่างฮ่องกง จีน ไต้หวัน สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ซึ่งสะท้อนถึงการกระจุกตัวของตลาดการค้าเซมิคอนดักเตอร์ในภูมิภาคเอเชีย

จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่า อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องภายใต้โครงสร้างตลาดที่กระจุกตัวอยู่ในภูมิภาคเอเชีย สะท้อนให้เห็นถึง บทบาทของภูมิภาคเอเชียในฐานะศูนย์กลางอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ทั้งในด้านการผลิต การค้า และการกระจายสินค้าในระดับโลกอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม แม้ภูมิภาคเอเชียจะเป็นฐานการผลิตหลัก แต่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลกยังคงถูกขับเคลื่อนโดยผู้เล่นรายใหญ่ นำโดยจีนและสหรัฐฯ ซึ่งต่างก็มีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ที่ส่งผลต่อทิศทางการแข่งขัน นโยบายอุตสาหกรรม และความมั่นคงทางเทคโนโลยีในระยะยาว
ในบทความนี้ สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างทางการค้าของประเทศผู้ส่งออกกับตลาดนำเข้าที่สำคัญอย่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศผู้นำเข้าเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของโลก เพื่อทำความเข้าใจถึงดัชนีที่ส่งผลต่อผลต่างของมูลค่าการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ไปยังทั้งสองตลาด โดยเป็นชุดข้อมูลอนุกรมเวลา (Time Series Data) รายปีตั้งแต่ปี 2016 - 2024 รวมระยะเวลา 9 ปี และข้อมูลตัดขวาง (Cross - Sectional Data) ครอบคลุม 59 ประเทศ และวิเคราะห์โดยใช้วิธีโมเดลแบบผลกระทบคงที่ (Fixed Effects Model) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลง (Forecast) และควบคุมความแตกต่างเชิงโครงสร้างของแต่ละประเทศที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามเวลา นอกจากนี้ ยังใช้ค่าสัมประสิทธิ์เบต้า (Beta Coefficients) ในการวิเคราะห์ เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบความสำคัญของตัวแปรอิสระหรือดัชนีเชิงปริมาณหลายตัวได้ เนื่องจากทุกตัวแปรถูกปรับให้เป็นมาตรฐาน (Standardize) ซึ่งอยู่ในสเกลเดียวกัน
การวิเคราะห์นี้ เลือกใช้ดัชนีเชิงปริมาณ 3 ประเภท ได้แก่ 1) ดัชนีความเกื้อกูลทางการค้าระหว่างประเทศ (Trade Complementarity Index: TCI) 2) ความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบที่ปรากฏ (Revealed Comparative Advantage: RCA) และ 3) ดัชนีความเข้มข้นทางการค้า (Trade Intensity Index: TII) ซึ่งการเปรียบเทียบทั้ง 3 ดัชนีนี้จะช่วยให้สามารถประเมินได้อย่างรอบด้านว่า ดัชนีใดมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ไปจีนและสหรัฐฯ ได้มากกว่ากัน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1) ดัชนีความเกื้อกูลทางการค้าระหว่างประเทศ (Trade Complementarity Index: TCI) คือ ดัชนีที่ใช้วัดระดับความสอดคล้องกันทางโครงสร้างการค้าระหว่างประเทศหนึ่งที่เป็นผู้ส่งออกกับอีกประเทศหนึ่งที่เป็นผู้นำเข้า ซึ่งผลการวิเคราะห์ พบว่า ผลต่างระหว่างค่า TCI ในสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศ i กับจีนและค่า TCI ในสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศ i กับสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับผลต่างระหว่างมูลค่าการส่งออกสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ไปจีนกับสหรัฐฯ โดยเมื่อผลต่างระหว่างค่า TCI ในสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศ i กับจีนและสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 1 หน่วย มีความสัมพันธ์กับผลต่างระหว่างมูลค่าการส่งออกสินค้า เซมิคอนดักเตอร์ไปจีนกับสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 0.2057 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ การที่ผลต่างระหว่างค่า TCI ในสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศ i กับจีนและสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น สะท้อนว่า ประเทศนั้นมีโครงสร้างการส่งออกที่ตรงกับความต้องการนำเข้าของจีนมากขึ้น เนื่องจากจีนเป็นตลาดผู้นำเข้ารายใหญ่ของโลกและมีอุตสาหกรรมปลายน้ำที่ใช้เซมิคอนดักเตอร์สูง เช่น สมาร์ทโฟน รถยนต์ไฟฟ้า และเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะที่สหรัฐฯ มีข้อจำกัดจากมาตรการควบคุมการค้า จึงส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ มีแนวโน้มพึ่งพาตลาดจีนมากกว่าสหรัฐฯ
2) ความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบที่ปรากฏ (Revealed Comparative Advantage: RCA) คือ ค่าที่ใช้วัดความสามารถในการแข่งขัน โดยจะพิจารณาสัดส่วนของมูลค่าการส่งออกสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศหนึ่งไปจีนหรือสหรัฐฯ กับมูลค่าการส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศหนึ่งไปจีนหรือสหรัฐฯ เทียบกับสัดส่วนของมูลค่าการส่งออกสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ของทั่วโลกไปจีนหรือสหรัฐฯ กับมูลค่าการส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของทั่วโลกไปจีนหรือสหรัฐฯ โดยผลการวิเคราะห์ พบว่า ผลต่างระหว่างค่า RCA ในสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศ i กับจีนและค่า RCA ในสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศ i กับสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับผลต่างระหว่างมูลค่าการส่งออกสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ไปจีนกับสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ โดยเมื่อผลต่างระหว่างค่า RCA ในสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศ i กับจีนและสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 1 หน่วย มีความสัมพันธ์กับผลต่างระหว่างมูลค่าการส่งออกสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ไปจีนกับสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 0.4208 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ การที่ผลต่างระหว่างค่า RCA ในสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศ i กับจีนและสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ชี้ให้เห็นว่า ประเทศที่มีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบในตลาดจีนสูงกว่าสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะส่งออกสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ไปยังจีนในสัดส่วนที่มากกว่าสหรัฐฯ ซึ่งอาจสะท้อนถึง ความได้เปรียบเชิงโครงสร้างและความสอดคล้องของการผลิตกับความต้องการตลาดจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่และมีอุตสาหกรรมปลายน้ำขนาดใหญ่ ขณะที่ตลาดสหรัฐฯ แม้มีอุปสงค์สูงแต่ถูกจำกัดด้วยมาตรการควบคุมด้านความมั่นคงและเทคโนโลยี ทำให้หลายประเทศมีแนวโน้มพึ่งพาการส่งออกไปจีนมากกว่าในเชิงปริมาณและโครงสร้าง
3) ดัชนีความเข้มข้นทางการค้า (Trade Intensity Index: TII) คือ ดัชนีที่ใช้วัดระดับความเข้มข้นของความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศหนึ่งกับอีกประเทศหนึ่ง หรือประเทศผู้ส่งออกกับประเทศคู่ค้ามีระดับการค้าเข้มข้นมากน้อยเพียงใด ซึ่งแสดงถึงโอกาสในการขยายการส่งออกไปยังประเทศเป้าหมายได้ ซึ่งผลการวิเคราะห์ พบว่า ผลต่างระหว่างค่า TII ในสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศ i กับจีนและค่า TII ในสินค้าเซมิ-คอนดักเตอร์ของประเทศ i กับสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับผลต่างระหว่างมูลค่าการส่งออกสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ไปจีนกับสหรัฐฯ โดยเมื่อผลต่างระหว่างค่า TII ในสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศ i กับจีนและสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 1 หน่วย มีความสัมพันธ์กับผลต่างระหว่างมูลค่าการส่งออกสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ไปจีนกับสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 0.5399 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ การที่ผลต่างระหว่างค่า TII ในสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศ i กับจีนและสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นถึง ความเข้มข้นทางการค้าในการค้าสินค้าเซมิคอนดักเตอร์กับจีนที่มากขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการพึ่งพิงตลาดจีนในฐานะผู้นำเข้าหลักของเซมิคอนดักเตอร์มากยิ่งขึ้น โดยจีนมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ทั้งในฐานะผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องใช้ชิ้นส่วนจำนวนมากและในฐานะตลาดปลายทางที่มีความต้องการสินค้าเทคโนโลยีสูงจากการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและอุตสาหกรรมไฮเทค ขณะที่ตลาดสหรัฐฯ แม้จะมีความต้องการสูงเช่นกัน แต่ยังคงมีข้อจำกัดจากมาตรการควบคุมการค้า ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงตลาดของประเทศผู้ส่งออกบางราย จึงส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ มีแนวโน้มพึ่งพาตลาดจีนมากกว่าตลาดสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม การทำความเข้าใจโครงสร้างและความสัมพันธ์ทางการค้าของสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ระหว่างประเทศจำเป็นต้องอาศัยดัชนีเชิงปริมาณที่สามารถสะท้อนความแตกต่างเชิงโครงสร้าง ศักยภาพในการแข่งขัน และระดับความเข้มข้นของความสัมพันธ์ทางการค้าได้อย่างเป็นระบบ เพื่ออธิบายว่าดัชนีใดเป็นตัวกำหนดทิศทางการส่งออกของแต่ละประเทศไปยังตลาดสำคัญอย่างจีนและสหรัฐฯ การวิเคราะห์ครั้งนี้ได้พิจารณาค่า Beta Coefficients ของดัชนีทั้ง 3 ประเภท เพื่อดูว่าแต่ละดัชนีมีอิทธิพลต่อผลต่างของมูลค่าการส่งออกไปจีนและสหรัฐฯ มากน้อยเพียงใด
| ดัชนี | ค่า Beta Coefficients |
| ดัชนีความเกื้อกูลทางการค้าระหว่างประเทศ (TCI) |
0.2057 |
| ความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบที่ปรากฏ (RCA) | 0.4208 |
| ดัชนีความเข้มข้นทางการค้า (TII) | 0.5399 |
จากการวิเคราะห์ (ตารางที่ 1) พบว่า ค่า Beta Coefficients ของ TII เท่ากับ 0.5399 ซึ่งมีค่าสูงที่สุดในดัชนีทั้ง 3 ประเภท สะท้อนว่า TII มีอิทธิพลต่อผลต่างระหว่างมูลค่าการส่งออกสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ไปจีนกับสหรัฐฯ มากที่สุด กล่าวคือ เมื่อค่า TII ในสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ระหว่างประเทศหนึ่งกับจีนเทียบกับสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 1 หน่วย มีความสัมพันธ์กับมูลค่าการส่งออกสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศนั้นไปจีนที่เพิ่มขึ้น 0.5399 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใต้สมมติฐานที่ว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศนั้นไปสหรัฐฯ ไม่เปลี่ยนแปลง
สรุป
การประเมินขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ อาศัยดัชนีเชิงปริมาณ 3 ประเภท ซึ่งสะท้อนมิติของการแข่งขันที่แตกต่างกัน ได้แก่ 1) ดัชนีความเกื้อกูลทางการค้า (Trade Complementarity Index: TCI) เป็นดัชนีที่ชี้ให้เห็นถึงระดับความสอดคล้องระหว่างโครงสร้างการส่งออกสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศหนึ่งกับโครงสร้างการนำเข้าของประเทศคู่ค้า โดยค่า TCI จะอยู่ระหว่าง 0 และ 100 หากค่า TCI = 100 หมายถึง ความเกื้อกูลกันอย่างสมบูรณ์ สะท้อนว่าการส่งออกสินค้าดังกล่าวของประเทศนั้นตรงกับความต้องการนำเข้าของประเทศคู่ค้า 2) ดัชนีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบที่ปรากฏ (Revealed Comparative Advantage: RCA) เป็นดัชนีที่สะท้อนถึงความสามารถทางการแข่งขันของประเทศหนึ่งว่ามีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบในการส่งออกสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ไปยังประเทศคู่ค้าหรือไม่ หากค่า RCA > 1 หมายความว่า ประเทศนั้นมีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบในการส่งออกสินค้าดังกล่าว แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบนี้เกิดจากปัจจัยใด และ 3) ดัชนีความเข้มข้นทางการค้า (Trade Intensity Index: TII) เป็นดัชนีที่ใช้วัดระดับความเข้มข้นหรือการพึ่งพิงคู่ค้า โดยเปรียบเทียบสัดส่วนการค้าระหว่างสองประเทศกับสัดส่วนการค้าโลก หากค่า TII > 1 หมายถึง ประเทศนั้นส่งออกสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ไปยังคู่ค้าในสัดส่วนที่มากกว่าสัดส่วนการค้าโลก
จากการเปรียบเทียบอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ไปจีนและสหรัฐฯ พบว่า ค่า Beta Coefficients ของ TII มีค่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับดัชนี TCI และ RCA โดยมีค่าเท่ากับ 0.5399 หมายความว่า TII มีอิทธิพลต่อผลต่างระหว่างมูลค่าการส่งออกสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ไปจีนกับสหรัฐฯ มากที่สุด ซึ่งกล่าวได้ว่า เมื่อค่า TII ในสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ระหว่างประเทศหนึ่งกับจีนเทียบกับสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 1 หน่วย มีความสัมพันธ์กับมูลค่าการส่งออกสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศนั้นไปจีนที่เพิ่มขึ้น 0.5399 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใต้สมมติฐานที่ว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศนั้นไปสหรัฐฯ ไม่เปลี่ยนแปลง สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศนั้นส่งออกสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ไปจีนในสัดส่วนที่มากกว่าสัดส่วนการค้าโลก ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มความเอนเอียงของการค้าไปทางจีนอย่างมีนัยสำคัญและสะท้อนบทบาทสำคัญของจีนในฐานะตลาดหลักของประเทศคู่ค้า
อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์แบบจำลอง Fixed Effects ในบทความนี้ ได้ใช้ข้อมูลภาพรวมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (Aggregate Data) จึงไม่สามารถสะท้อนความแตกต่างและความซับซ้อนเชิงโครงสร้างของการค้าในระดับสินค้าย่อยได้ ดังนั้น หากต้องการระบุว่า จีนหรือสหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญในส่วนใดของห่วงโซ่-มูลค่าอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ผู้กำหนดนโยบายควรวิเคราะห์ข้อมูลในระดับสินค้าย่อย เพื่อให้สามารถออกแบบมาตรการเชิงนโยบายที่สอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของสินค้าหรือขั้นตอนการผลิตแต่ละประเภทได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในส่วนของข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในภาพรวมนั้น ควรมุ่งเสริมสร้างความเข้มข้นของความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน อันจะช่วยผลักดันให้มูลค่าการส่งออกสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ไปยังตลาดจีนมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ประเทศที่ต้องการรักษาสมดุลการค้าในสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อาจออกนโยบายทางการค้าที่มุ่งกระจายความเสี่ยงของตลาดส่งออกและเพิ่มความเข้มข้นทางการค้ากับสหรัฐฯ เพื่อลดการพึ่งพิงจีนที่มากเกินไป และสร้างสมดุลที่ยั่งยืนต่อความสามารถการแข่งขันในระยะยาว
ทั้งนี้ บทความในส่วนถัดไปจะมุ่งเน้นที่การวิเคราะห์ทิศทางการค้าสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ของไทยกับจีนและสหรัฐฯ เพื่ออธิบายความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างและผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศของไทย อันจะนำไปสู่การออกแบบนโยบายทางการค้าที่ยืดหยุ่นและสมดุล เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของไทยในระยะยาว
บทความนี้จัดทำโดย
แผนกนโยบายและแผน ศูนย์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (E&E Intelligence Unit: EIU) สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (EEI)
อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th
Line / Facebook / X / YouTube @MreportTH
